Print

จากใจ บก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๒๗๔

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

ฝึกเจริญมรณสติ 

 

 

editor274

 

ผู้หลีกเลี่ยงการเจริญมรณสติ

คือผู้ที่มักขาดสติก่อนตาย

การไม่เจริญมรณสติจึงเป็นทุกข์

ส่วนผู้หมั่นเจริญมรณสติให้มาก

คือผู้มีสติดีกับการจากไป

การเจริญมรณสติจึงเป็นสุข

 

ผู้ที่เห็นความตายเป็นอัปมงคล ไม่ควรนึกถึง

คือผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างประมาท หลงนึกว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ

ส่วนผู้ที่เห็นความตายเป็นความจริง เป็นธรรมดา

จะนึกถึงวันตายเรื่อยๆ แล้วใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ตระเตรียมเสบียงกรังไว้ให้ครอบครัว

กับทั้งตระเตรียมเสบียงบุญไว้ให้ตนเอง

 

ผู้จะฝึกเจริญมรณสติเพียงในระดับความคิด

อาจเริ่มง่ายๆด้วยการถามตนเองว่า

ถ้าต้องตายในนาทีนี้ เราจะนึกถึงอะไร?

การเตรียมใจไว้ล่วงหน้าสำคัญมาก

เพราะเมื่อถึงเวลาจริง จิตจะได้มีทิศทาง

มีที่เกาะ หรือมีที่พึ่งอันสุกสว่างจากกลางใจ

ไม่ใช่ต้องมามัวลังเลอยู่

บนทางสองแพร่ง หรือร้อยแพร่ง

คำแนะนำที่ดี คือ ให้ระลึกถึงบุญที่เคยทำแล้วชื่นใจที่สุด

นึกถึงทีไรแล้วเบาอก หัวโล่ง ล้นสุขเหนือสิ่งอื่นใด

 

ผู้จะฝึกเจริญมรณสติให้ถึงระดับจิต

อาจอาศัยสถานการณ์น่าหวาดเสียวบางอย่าง

เช่น ขณะนั่งอยู่ในรถที่แล่นเร็ว

ลองนึกว่าถ้าจะเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำคอหักตายเดี๋ยวนี้

ใจเราจะประหวั่นสั่นไหวหรือสงบนิ่งเป็นปกติได้?

หรือขณะล่องเรืออยู่ในห้วงน้ำใหญ่ คลื่นลมแรง

ลองนึกว่าถ้าเรือล่ม เป็นเหตุให้ขาดใจตายในน้ำ

ใจเราจะดิ้นรนหรือสงบระงับ?

หรือขณะอยู่บนเครื่องบินที่ตกหลุมอากาศ ฟ้าคะนอง

ลองนึกว่าถ้าเครื่องตก ต้องร่างกายแหลกเหลว

ใจเราจะประหวั่นพรั่นพรึงหรือสงบได้ไม่หวั่นไหว?

คำแนะนำที่ดี คือ ให้สังเกตว่า

คุณสะกดจิตตัวเองให้สงบสุขไม่ได้

ถ้าสะสมบาปไว้มาก พอจวนตัว ใจจะดิ้นรน หวาดกลัว

แต่หากสะสมบุญไว้พอ เมื่อถึงคราว ใจจะนิ่งเย็น อบอุ่น

 

ผู้ต้องการฝึกเจริญมรณสติให้ถึงระดับปัญญา

ต้องเจริญสติมาตามลำดับ

รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก กระทั่งเกิดสมาธิ

เห็นลมหายใจด้วยจิตเหมือนตาเห็นรูป

แล้วเห็นกายอันเป็นที่เข้าออกของลมหายใจนี้

ทั้งขณะกายนิ่ง ทั้งขณะกายเคลื่อนไหว

กระทั่งรู้ว่า ภายใต้เนื้อหนังห่อหุ้ม คือตับไตไส้พุง

เห็นซึ้งว่าตับไตไส้พุง คือธาตุดิน

น้ำลาย น้ำเลือด น้ำเหลือง คือธาตุน้ำ

ลมหายใจเข้าออก คือธาตุลม

ไออุ่นที่แผ่ไป คือธาตุไฟ

โพรงว่างและช่องกลวงต่างๆ คือธาตุอากาศ

และเห็นว่าผู้รู้ผู้ครองร่าง คือธาตุวิญญาณ

เมื่อเห็นชัดเช่นนั้นอยู่เรื่อยๆ

ด้วยการทำไว้ในใจว่า ธาตุทั้งหลายไม่เที่ยง

คุมรูปอยู่ได้ด้วยวิบากกรรมและอาหารเป็นคำๆ

ในที่สุดต้องเสื่อมสภาพลงเป็นธรรมดา

ด้วยปัญญาเห็นธรรมชาติความจริงเช่นนั้น

ในที่สุดจะเกิดการแสดงทางธรรมชาติของกาย

มีผมหงอก มีฟันหลุด

มีกระดูกเป็นท่อนๆแยกจากกันแบบต่างคนต่างไป

แล้วมีความเน่าเปื่อยผุพัง กลายเป็นผงหายวับ

แล้วกลับคืนรูปใหม่ วนไปเวียนมา

จนกว่าจิตจะแจ่มแจ้งเป็นอิสระจาก

ความเป็นกายและความเป็นศพ

รู้ว่ากายและศพไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวใคร ไม่ใช่ตัวเรา

แจ่มแจ้งว่าเมื่อพ้นอุปาทานถึงขีดสุด

จะเป็นผู้รอดจากการตาย

เพราะรอดจากการเกิดใหม่

ที่ใดไม่มีความเกิด ที่นั้นย่อมไม่มีความตาย!

 

ดังตฤณ

เมษายน ๖๐