Print

จากใจบ.ก.ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๒๖๓

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

พ่อแม่ไม่ใช่พระอรหันต์ของลูก

 

 editor263

 

ที่มาดั้งเดิมอันถูกต้องนั้น อยู่ในพรหมสูตร
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกะเหล่าพระภิกษุสาวก
มีใจความสรุปว่า
ถ้ามีลูกแล้วอุปการะเลี้ยงดูลูก
ช่วยให้ลูกรู้จักโลก รู้จักชีวิต
ก็จะเป็นพ่อแม่ผู้สมควรได้รับการบูชา
อีกทั้งนับว่าสกุลนั้น
มีพระพรหมอันควรบูชาอยู่ในเรือน
ลูกผู้มีใจสูงจึงพึงกราบไหว้พ่อแม่
ปรนนิบัติท่านต่างๆนานา
ไม่ต่างจากคิดถวายการปรนนิบัติต่อพระพรหม
พูดง่ายๆว่า พ่อแม่ดี
ก็เปรียบเหมือนพระพรหมได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์
ส่วนลูกที่ดีตอบ ก็ควรแก่การเป็นเทวดา
พ่อแม่ลูกตายแล้วไปสู่สวรรค์จะไม่น่าแปลกใจ

แต่ทั้งพ่อแม่และลูก ยังไม่หมดกิเลส
เป็นพ่อเป็นแม่แล้วหมดกิเลสไม่ได้
ก็หมายความว่าเป็นพ่อเป็นแม่แล้วไม่ใช่พระอรหันต์
ทว่าเมื่อจดจำไว้ผิด บอกต่อกันผิดๆว่า
พระอรหันต์ที่บ้านคือพ่อแม่
อย่างนี้พ่อขี้เมาบางคนกลับถึงบ้าน
เห็นลูกวิ่งหนี ก็ประกาศลั่นว่า
นี่จะวิ่งหนีพระอรหันต์เหรอ
บาปนะเอ็ง กลับมากราบพระอรหันต์ซะดีๆ
ซึ่งเมื่อลูกได้ยินอย่างนี้เข้า
ก็คงยากที่จะศรัทธาพุทธศาสนาต่อ
เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าคงตรัสอะไรไว้ผิดแน่ๆ
ขอให้จดจำกันใหม่
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์
มีแต่คนไทยเท่านั้นที่จำไว้อย่างนี้

แท้จริงแล้วทางพุทธเรามีกล่าวไว้ในชาดกว่า
ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักให้
ถ้าพ่อแม่พูดจาไม่น่ารัก
ถ้าพ่อแม่ทำตัวไม่เป็นประโยชน์
ถ้าพ่อแม่ไม่มีความเป็นธรรม
ก็เป็นพ่อแม่ที่ไม่น่านับถือ
แม้เป็นลูกก็คงบูชาไม่ลง
พูดง่ายๆ ท่านสอนว่า
อย่าสำคัญตัวผิด
คิดว่าเพียงให้กำเนิด
ก็ประเสริฐที่สุดสำหรับลูก
ซึ่งนี่เป็นความจริงประจำโลก ฟังแล้วไม่ขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม
หลายคน รู้สึกอยู่เป็นวูบๆว่า
ตนไม่ใช่พ่อแม่ที่ดี
รู้ตัวว่าความประพฤติไม่น่าเคารพ
เวลาทะเลาะกับลูก น้อยใจขึ้นมา
ก็มักเอะอะว่า เออ! กูมันไม่ดี!
ไม่ต้องนับกูเป็นพ่อเป็นแม่ก็ได้!
ซึ่งนั่นก็เป็นอีกข้างความผิดพลาด
ที่ก่อบาปก่อกรรมให้ทั้งตัวเองและลูกตน

แม้คนไม่น่าเคารพที่สุด
เมื่อให้กำเนิดลูก ก็ต้องนับว่า
ได้ให้สิ่งที่ไม่มีใครในโลกให้กับลูกได้อยู่ดี
ถ้าไม่มีเลือดเนื้อให้จิตวิญญาณเข้ามาประกบประกอบ
ก็ไม่มีชีวิตแบบมนุษย์ให้พ้นแดนนรกแดนเดรัจฉาน
ไม่มีชีวิตแบบมนุษย์ให้แสวงทางสวรรค์ทางนิพพาน
เลือดเนื้อของมนุษย์จึงเป็นยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวง
ต่อให้โตขึ้นมีใครอื่นโอนเงินสดให้ร้อยล้านพันล้าน
น่าซาบซึ้งหัวใจพองคับโลกขนาดไหน
ก็เทียบไม่ได้กับผู้ให้เลือดเนื้อมาหัวใจพองแบบนั้น
ฉะนั้น ถึงรู้สึกว่าตัวไม่ดี
ก็อย่าปล่อยให้ลูกลามปามด่าว่าหรือทำร้ายกลับ
เพราะมันไม่ใช่เรื่องสมน้ำสมเนื้อ
แบบเราเตะเขา เขาเตะเรา เจ๊ากัน
แต่มันเหมือนนักมวยรุ่นเล็กกับรุ่นใหญ่มาชกกัน
นึกว่าออกแรงเท่ากัน
ทว่าคนหนึ่งแค่หน้าสะบัดเบาๆ
อีกคนถึงขั้นน็อกได้
พ่อแม่ทำร้ายลูกถึงตาย
ยังมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์หรือเจริญสติเอามรรคเอาผลได้
แต่ถ้าลูกทำร้ายพ่อแม่ถึงตาย
อันนี้ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานเลย

กรรมต่างกัน ผลต่างกัน
เป็นไปตามฐานะความสัมพันธ์
การระลึกถึงฐานะของตนเองอย่างมีสติถูกต้อง
คือ รู้ตัวว่าเป็นพ่อแม่ วางตัวเป็นพ่อแม่ให้ลูกนับถือ
หรือแม้รู้ตัวว่าไม่น่านับถือ
ก็ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกตบหัวเล่นเป็นการลงโทษได้
และเมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่ เห็นแก่ลูกอยู่
ก็จะเกิดสติ เกิดความมีแก่ใจ
อยากทำตัวเป็นพ่อแม่ที่น่านับถือขึ้นมาเอง!


ดังตฤณ
พฤศจิกายน ๕๙

ที่มาดั้งเดิมอันถูกต้องนั้น อยู่ในพรหมสูตร

ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกะเหล่าพระภิกษุสาวก

มีใจความสรุปว่า

ถ้ามีลูกแล้วอุปการะเลี้ยงดูลูก

ช่วยให้ลูกรู้จักโลก รู้จักชีวิต

ก็จะเป็นพ่อแม่ผู้สมควรได้รับการบูชา

อีกทั้งนับว่าสกุลนั้น

มีพระพรหมอันควรบูชาอยู่ในเรือน

ลูกผู้มีใจสูงจึงพึงกราบไหว้พ่อแม่

ปรนนิบัติท่านต่างๆนานา

ไม่ต่างจากคิดถวายการปรนนิบัติต่อพระพรหม

พูดง่ายๆว่า พ่อแม่ดี

ก็เปรียบเหมือนพระพรหมได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์

ส่วนลูกที่ดีตอบ ก็ควรแก่การเป็นเทวดา

พ่อแม่ลูกตายแล้วไปสู่สวรรค์จะไม่น่าแปลกใจ

 

แต่ทั้งพ่อแม่และลูก ยังไม่หมดกิเลส

เป็นพ่อเป็นแม่แล้วหมดกิเลสไม่ได้

ก็หมายความว่าเป็นพ่อเป็นแม่แล้วไม่ใช่พระอรหันต์

ทว่าเมื่อจดจำไว้ผิด บอกต่อกันผิดๆว่า

พระอรหันต์ที่บ้านคือพ่อแม่

อย่างนี้พ่อขี้เมาบางคนกลับถึงบ้าน

เห็นลูกวิ่งหนี ก็ประกาศลั่นว่า

นี่จะวิ่งหนีพระอรหันต์เหรอ

บาปนะเอ็ง กลับมากราบพระอรหันต์ซะดีๆ

ซึ่งเมื่อลูกได้ยินอย่างนี้เข้า

ก็คงยากที่จะศรัทธาพุทธศาสนาต่อ

เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าคงตรัสอะไรไว้ผิดแน่ๆ

ขอให้จดจำกันใหม่

พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์

มีแต่คนไทยเท่านั้นที่จำไว้อย่างนี้

 

แท้จริงแล้วทางพุทธเรามีกล่าวไว้ในชาดกว่า

ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักให้

ถ้าพ่อแม่พูดจาไม่น่ารัก

ถ้าพ่อแม่ทำตัวไม่เป็นประโยชน์

ถ้าพ่อแม่ไม่มีความเป็นธรรม

ก็เป็นพ่อแม่ที่ไม่น่านับถือ

แม้เป็นลูกก็คงบูชาไม่ลง

พูดง่ายๆ ท่านสอนว่า

อย่าสำคัญตัวผิด

คิดว่าเพียงให้กำเนิด

ก็ประเสริฐที่สุดสำหรับลูก

ซึ่งนี่เป็นความจริงประจำโลก ฟังแล้วไม่ขัดแย้ง

 

อย่างไรก็ตาม

หลายคน รู้สึกอยู่เป็นวูบๆว่า

ตนไม่ใช่พ่อแม่ที่ดี

รู้ตัวว่าความประพฤติไม่น่าเคารพ

เวลาทะเลาะกับลูก น้อยใจขึ้นมา

ก็มักเอะอะว่า เออ! กูมันไม่ดี!

ไม่ต้องนับกูเป็นพ่อเป็นแม่ก็ได้!

ซึ่งนั่นก็เป็นอีกข้างความผิดพลาด

ที่ก่อบาปก่อกรรมให้ทั้งตัวเองและลูกตน

 

แม้คนไม่น่าเคารพที่สุด

เมื่อให้กำเนิดลูก ก็ต้องนับว่า

ได้ให้สิ่งที่ไม่มีใครในโลกให้กับลูกได้อยู่ดี

ถ้าไม่มีเลือดเนื้อให้จิตวิญญาณเข้ามาประกบประกอบ

ก็ไม่มีชีวิตแบบมนุษย์ให้พ้นแดนนรกแดนเดรัจฉาน

ไม่มีชีวิตแบบมนุษย์ให้แสวงทางสวรรค์ทางนิพพาน

เลือดเนื้อของมนุษย์จึงเป็นยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวง

ต่อให้โตขึ้นมีใครอื่นโอนเงินสดให้ร้อยล้านพันล้าน

น่าซาบซึ้งหัวใจพองคับโลกขนาดไหน

ก็เทียบไม่ได้กับผู้ให้เลือดเนื้อมาหัวใจพองแบบนั้น

ฉะนั้น ถึงรู้สึกว่าตัวไม่ดี

ก็อย่าปล่อยให้ลูกลามปามด่าว่าหรือทำร้ายกลับ

เพราะมันไม่ใช่เรื่องสมน้ำสมเนื้อ

แบบเราเตะเขา เขาเตะเรา เจ๊ากัน

แต่มันเหมือนนักมวยรุ่นเล็กกับรุ่นใหญ่มาชกกัน

นึกว่าออกแรงเท่ากัน

ทว่าคนหนึ่งแค่หน้าสะบัดเบาๆ

อีกคนถึงขั้นน็อกได้

พ่อแม่ทำร้ายลูกถึงตาย

ยังมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์หรือเจริญสติเอามรรคเอาผลได้

แต่ถ้าลูกทำร้ายพ่อแม่ถึงตาย

อันนี้ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานเลย

 

กรรมต่างกัน ผลต่างกัน

เป็นไปตามฐานะความสัมพันธ์

การระลึกถึงฐานะของตนเองอย่างมีสติถูกต้อง

คือ รู้ตัวว่าเป็นพ่อแม่ วางตัวเป็นพ่อแม่ให้ลูกนับถือ

หรือแม้รู้ตัวว่าไม่น่านับถือ

ก็ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกตบหัวเล่นเป็นการลงโทษได้

และเมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่ เห็นแก่ลูกอยู่

ก็จะเกิดสติ เกิดความมีแก่ใจ

อยากทำตัวเป็นพ่อแม่ที่น่านับถือขึ้นมาเอง!

 

 

ดังตฤณ

พฤศจิกายน ๕๙