Print

จากใจบก.ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๒๕๗

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 



เรื่องแย่...คือโอกาสดี ถ้ามีสติแบบพุทธ

editor257

 

เมื่อเจอเรื่องแย่

โดยเฉพาะที่แย่เข้าขั้นวิกฤติ

งานไม่มี เงินไม่เหลือ

ความช่วยเหลือไม่มา

คนเราจะถึงทางแยกจุดหนึ่ง

คือ ปล่อยตัวเองให้ขาดสติ

กับเกิดสติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ขาดสติ คือเลิกคิด เลิกใช้เหตุผล

ปล่อยให้อารมณ์มืดครอบงำ

ประชดชีวิตด้วยการทิ้งชีวิต

หรือทำชีวิตให้บรรลัยหนักขึ้น

เช่น ใช้เงินก้อนสุดท้ายเล่นพนัน

ใช้เรี่ยวแรงที่พอมีไปปล้นชาวบ้าน

 

แต่ถ้าเกิดสติ ได้คิด ได้ใช้เหตุผล

คุณจะพบว่าตัวเองกลายเป็นใครอีกคน

ที่ค้นหาไม่เคยพบในยามสุขสบาย

ความจนตรอกจะบีบให้คุณ

หันหน้าเข้าหาตัวเอง

คุยกับตัวเองให้รู้เรื่องว่า

เมื่อถึงเวลา หมดทุนนอกตัว

ที่ตรงนั้นคุณ สะสมทุนในตัวไว้ได้แค่ไหนแล้ว

 

เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่มีทุนในตัวอยู่เลย

แม้แต่คนจรจัดไร้บ้าน

ก็รู้แหล่งเก็บขยะขาย

และบางคนก็ขายขยะ

มีรายได้ดีกว่าคนจบตรีเสียอีก!

 

ทุนในตัวที่แท้จริง

มักถูกหยิบมาใช้ในยามไม่เหลือทุนนอกตัว

และทุนในตัวที่มีค่าที่สุด

ก็คือสติ กับการมองเห็น

เพราะสองสิ่งนี้จะรวมกันเป็นความคิดดีๆ

เป็นไอเดียดีๆ เป็นการตัดสินใจอะไรใหม่ๆ

พาไปเจออะไรใหม่ๆ

น่าให้เชื่อได้ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

เพราะคนเราเมื่อตกต่ำดำดิ่งถึงที่สุด

ถ้ายังคิดดีอยู่ได้ ก็แปลว่าถึงเวลาเชิดหัวขึ้นแล้ว

ไม่ใช่ได้เวลากระแทกพื้น

 

สติแบบพุทธ เริ่มจากเครื่องกั้นความเลวร้าย

แม้โลกประเคนสิ่งเลวร้ายเข้าใส่

แต่คุณตัดสินใจไม่ออกจากเขตของศีล

เรื่องดีๆก็ยังเหลืออยู่ หรือพร้อมจะเกิดไอเดียใหม่

ได้ความคิดแปลกใหม่ที่คุณคนเดิมคิดไม่ออก

หรือกระทั่งเห็นว่าตัวจริงของคุณ

มีความเป็นคนจริง มากกว่าคนเหลวไหลคนก่อนเยอะ

 

สติแบบพุทธ สำหรับคนที่ศึกษาพุทธอยู่จริง

นำความเป็นพุทธ

เข้ามาประดิษฐานในตนไว้ก่อนเกิดวิกฤติ

พอถึงคราวเกิดวิกฤติ พอเกิดความรู้สึกแย่ๆ

ก็จะมีสติ พลิกใจตัวเองที่เคยเอาแต่ดูโลกภายนอก

หันไปเป็นผู้ดูโลกภายใน

เห็นกายปวกเปียกอยู่ในอิริยาบถแย่ๆ

เห็นความรู้สึกแย่ๆที่ปรากฏในกาย

 

แค่เห็นกายแย่ๆ ความรู้สึกแย่ๆ

เพียงชั่วลมหายใจเดียว

อย่างน้อยจะเกิดความรู้ขึ้นมาประการหนึ่ง คือ

ตอนเกิดเรื่องแย่ คุณจะไม่อยากมีตัวตน

เพราะจิต ไม่อยากยึด

ไม่อยากเอาภาวะที่เป็นอยู่

 

ในความไม่อยากยึด ไม่อยากเอากายใจในบัดนั้น

จิตพร้อมจะทิ้งอัตตาทั้งหมด

ยิ่งถ้าพบว่ากายแย่ๆ จิตแย่ๆที่เห็นนั้น

เปลี่ยนแปลงได้ แตกต่างจากเดิมได้ชั่วข้ามลมหายใจ

จิตจะยิ่งแจ่มแจ้งว่า นั่นแหละ อนัตตา

 

ตัวอย่างเช่น เริ่มขึ้นมา เกิดสติยอมรับความจริงว่า

กำลังฟุ้งซ่าน ระส่ำระสาย หมดกำลังใจ ท้อแท้

ร่างกายปวกเปียกเหมือนขี้ผึ้งถูกลน

ไม่มีเรี่ยวแรงให้แข็งขันทำอะไรได้

ณ จุดนั้น จิตจะเห็นเหมือนกายใจ

เป็นกองขยะกองหนึ่ง ไร้ค่า ไม่มีราคา

แล้วพิจารณาต่อยอดว่า

ที่ลมหายใจนี้ ฟุ้งซ่านประมาณนี้

เทียบกับลมหายใจครั้งต่อไปว่า

ฟุ้งเตลิดขึ้นกว่าเดิม

หรือลดระดับความฟุ้งลง

คุณจะพบว่า เพียงแวบแห่งการสังเกตสั้นๆ

ชั่วเวลาข้ามลมหายใจนั้น

ถ้าพบว่า ระดับความระส่ำระสายภายในไม่เท่าเดิม

ก็จะเกิดประสบการณ์น่าอัศจรรย์ คือ

รู้สึกชัดว่า กลุ่มก้อนความฟุ้งซ่านนี้

กลุ้มก้อนความรู้สึกแย่ๆนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวใคร

เป็นของจ้อย ด้อยค่า

แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ค้นพบเพชรในกองขยะ

อันได้แก่สติรู้ความจริง

 

จิตที่สว่าง ว่าง สงบสุข

อันได้จากสติรู้ความจริงนั่นแหละ

ล้ำค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต

แม้เกิดขึ้นเพียงแวบเดียว คุณก็จะจำไม่ลืม

และอาจต่อยอดขึ้นเป็นสมาธิ

เห็นความจริงได้เป็นปกติในเวลาต่อมา

แล้วคุณจะกลายเป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่างสนิทใจว่า

เรื่องแย่ คือโอกาสดี ถ้ามีสติแบบพุทธ!

 

 

ดังตฤณ

สิงหาคม ๕๙