Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๙๖

dungtrin_editor_coverจิตที่กลมกลืน

dungtrin_new2

คนสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน
ถ้าไม่คุยกัน จะต่างคนต่างคิด
จิตฟุ้งกระจายไปคนละทาง
ต่างฝ่ายต่างอยู่ในโลกของตัวเอง
เกิดความรู้สึกแปลกแยก แปลกหน้าต่อกัน

คนสองคนนั่งคุยกัน
ถ้าคุยกันคนละเรื่อง มุมมองคนละด้าน
จิตแล่นสวนกันจากคนละฟากทาง
จะก่อความรู้สึกเป็นคนละพวก
หรือกระทั่งรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้าม

มนุษย์ธรรมดาอาศัยการพูดคุยเจรจา
ในการปรุงความรู้สึกให้เข้ากันหรือต่างกัน
นั่นเป็นเหตุผลว่า
คนร่วมบ้านบางคู่ หรือบางครอบครัว
ที่ไม่ค่อยคุยกัน หรือคุยไปคนละเรื่อง
แม้อยู่ด้วยกันนานนับสิบปี
ก็รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก
ตัวใกล้ชิด แต่ใจแสนห่าง

กลับกัน เมื่อต้องนั่งกับคนไม่รู้จัก
แม้นาทีแรกรู้สึกถึงช่องว่างที่คั่นกลางระหว่างคุณกับเขา
แต่นาทีต่อมาอาจรู้สึกเหมือนช่องว่างถูกถมอย่างรวดเร็ว
หรือคลื่นความแปลกแยกถูกปรับให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
หลังจากพูดคุยทักทาย ชวนคุยเรื่องที่ต่างชอบใจแค่ไม่กี่คำ

ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
คนเราจะอยู่ร่วมกันโดยดี คบกันได้ยั่งยืน
ต้องมีศรัทธาในทางเดียวกันเป็นตัวตั้ง
เมื่อศรัทธาทางดีสายเดียวกัน
ก็ย่อมยินดีชักชวนพูดคุยเรื่องดีๆไปด้วยกัน
โดยไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นตัวตลก

ยิ่งถ้าหากมีศีล มีน้ำใจ
มีสติปัญญาคิดอ่านทันๆกัน
ฐานความรู้สึกก็จะยิ่งกลมกลืน
ใกล้กันแล้วเข้ากันได้อย่างยิ่ง เป็นสุขยิ่ง

การจะพบและได้ใกล้ชิด
กับผู้ที่มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาใกล้เคียงกัน
ต้องอาศัยเหตุ คือเคยร่วมปลูกศรัทธา รักษาศีล รินน้ำใจ
ตลอดจนร่วมแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญามาด้วยกันไว้ก่อน
ซึ่งยากเย็นเพียงใดที่จะเคยมีเหตุเช่นนั้น
ก็ขอให้ดูว่าในปัจจุบัน เป็นเรื่องง่ายหรือยาก
ที่คุณจะร่วมมือกับใครในการปลูกศรัทธา รักษาศีล รินน้ำใจ
ตลอดจนร่วมแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปโดยดี
ด้วยสติปัญญาอันเป็นธรรม

อนึ่ง แม้เคยอยู่ร่วมกัน
โดยมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาใกล้เคียงกัน
มาพบกันอีกแล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง เป็นสุขยิ่ง
ก็ยังไม่ใช่เครื่องประกันว่าปัจจุบันจะซื่อต่อกันแน่ๆ
เพราะเหตุนี้ จึงไม่มีความยั่งยืนใดๆด้วยเหตุเก่าประการเดียว
ต้องเติมเหตุใหม่เข้าไปเรื่อยๆด้วย

ความรู้สึกระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์
เป็นของเปลี่ยนได้เรื่อยๆตามเหตุปัจจัย
นั่นแหละ กฎกติกาอันเป็นธรรมที่สุด

ดังตฤณ
เมษายน ๕๗