Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๑๖๘

dungtrin_cover

ถาม - จริงหรือไม่ที่ว่าถ้าก่อนตายเราจับอารมณ์ที่เป็นกุศลก็จะไปสุคติภูมิหากจับอกุศลก็ไปทุคติภูมิ แต่ส่วนมากในช่วงใกล้ตายเวทนาจะมากจนไม่สามารถตั้งสติได้ จึงเป็นสาเหตุให้ควรฝึกปฏิบัติจนเกิดเป็นมหาสติไว้ก่อน

dungtrin_gru2a เปลี่ยนเป็นว่าถ้าก่อนตายใจถึงกุศลได้
ก็อาจมีสิทธิ์ได้ไปสุคติภูมิจะใกล้เคียงความจริงนะครับ

ลองนึกถึงตอนปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้หรือเป็นไมเกรน
ที่ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนใกล้จะอาเจียน
จิตใจแบบนั้นแม้จะนึกออกท่องได้ว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
หรือท่องพุทโธหรือสัมมาอรหัง
ก็ยากที่จะเป็นกุศลหากไม่จ่ออยู่กับกุศลแรงๆไว้จนอยู่ตัวล่วงหน้า

อีกประการหนึ่ง
แม้ใจจะเป็นกุศลจะได้ไปสุคติภูมิคือมนุษยโลกหรือเทวโลก
ก็ไม่แน่นักว่าจะโดยดีหรือน่าพึงพอใจ
เพราะกรรมย่อมเป็นผู้จำแนกคลาสของการเกิดในภูมิหนึ่งๆอีกที

ยกตัวอย่างเช่นโลกมนุษย์นั้นถือว่าเป็นสุคติ
แต่ลองดูในปัจจุบันเป็นตัวอย่างเถิด
ว่าอยู่ในสุคติเพื่อทำกุศลหรืออกุศลมากกว่ากัน
อยู่ในโลกมนุษย์แล้วมีใครบ้างนั่งนอนสบายเสวยสุขโดยไม่ลำบาก
อยู่ในโลกมนุษย์แล้วมีแต่เรื่องฉ่ำชื่นชวนสุขสันต์หรรษา
ไม่ต้องพบอุปสรรคไม่ต้องมีเรื่องราวหม่นใจ

เทวโลกนั้นละไว้เพราะไม่ค่อยมีใครรู้กัน
ว่าความเป็นอยู่ข้างบนเป็นอย่างไรแน่
แต่แน่อยู่อย่างคือมีการแบ่งชั้นวรรณะ
กรรมวิบากจัดสรรเทวสมบัติให้หยาบประณีตผิดแผกกัน
ความรุ่งเรืองในรัศมีแตกต่างกัน
บริษัทบริวารอันควรมีควรครองแตกต่างกัน

ความแตกต่างเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันนั้นแหละ
เหตุที่มาของความขัดเคืองน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา
หรือกระทั่งความริษยา - ดูหมิ่น
เป็นของประจำภพภูมิที่เที่ยงแท้แน่นอนมาตลอดกาล

มีกี่คนในโลกนี้โกยบุญเพื่อเสวยสุขจากกุศลวิบาก
เอาแค่ความเชื่อในสังสารวัฏก็หาได้ยากเย็นเต็มที

ศาสนาพุทธจึงมีท่าทีต่อการเตรียมตัวตายอย่างชัดเจน
ว่าไม่ใช่ให้ระลึกถึงกุศลเอาในขณะตาย
แต่ให้พยายามสร้างสมบุญกุศลเอาไว้ตลอดชีวิต
เพราะบุญกุศลย่อมให้ผลเป็นความสุขในปัจจุบันประจักษ์ใจ
และถ้าชาติหน้าจะมีจริงก็ย่อมให้วิบากเป็นอัตภาพอันน่ารื่นรมย์ไม่เป็นรองใคร
(เว้นแต่ทำบุญด้วยกิริยาที่เป็นรองเขาหมด
ต้องให้เขาชักชวนเสียก่อนถึงยินดีแบบประดักประเดิด
แบบนี้จะหวังเสวยสุขอันเยี่ยมยอดนั้นคงยากแน่)

เมื่อคิดพูดทำอย่างที่เป็นบุญตลอดเวลา
ตามแนวทางของทานศีลสมาธิและปัญญาไม่ขาดสาย
ธรรมชาติของใจก็ย่อมเปิดย่อมสว่างมีความหนักแน่นมั่นคงอยู่เองเป็นธรรมดา
แม้เมื่อตายโดยไม่รู้ตัวพื้นกุศลอันหนักแน่นนั้นก็จะเป็นพื้นหนุน
เป็นเกราะป้องกระแสอกุศลอันแข็งแรงเอง
แทบไม่มีความจำเป็นต้องระลึกถึงกุศลแต่อย่างใด
ในเมื่อภาวะมันจ่ออยู่เองแล้วสบายลอยลำอยู่แน่แล้ว

อีกประการหนึ่งพุทธศาสนามีท่าทีให้หนีการเกิด
คืออย่าเกิดเป็นดีที่สุดสลัดคืนบ่อเกิดของอัตภาพทั้งปวงนั่นแหละปลอดภัยแท้
แม้ยังทำไม่ได้ยังอาลัยไยดียังเห็นการเกิดเป็นของน่าหวงแหน
อย่างน้อยทำให้เบาบางด้วยการหมั่นคิดหมั่นพิจารณาไปเรื่อย
ว่าสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ควรตามเห็นหรือไม่ว่านั่นของเรานี่ของเรา
ค่อยๆทำใจให้ตีตัวออกห่างผละจากเปลือกหยาบภายนอก
แล้วตะล่อมเข้ามาหาเจ้าเรือนอัตตาคือกายนี้ใจนี้
เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้าอย่างไม่คลอนแคลน
ก็เท่ากับเป็นการสร้างสะพานสานกระแสจิตให้ไหลไปสู่ความหลุดพ้นจากวังวนทุกข์
เผลอๆถ้าหมั่นพิจารณาจนสั่งสมกำลังความปล่อยวางไว้มากพอ
ก่อนตายจิตอาจได้จังหวะเบิกบานออกเป็นความรู้แจ้งระดับแรกก็ได้ครับ
เพราะถ้าก่อนตายใจจับกายอันกำลังจะล่วงลับ
จับจิตและความทุกข์จากธาตุขันธ์เห็นสักแต่เป็นของว่างเปล่าที่กำลังจะดับไป
การช่วยแสดงอนัตตภาพของกายใจขณะนั้นจะแจ่มใสหนักแน่นยิ่ง
ไม่ต้องลุ้นไม่ต้องแกล้งทุรนทุรายไม่ต้องเพ่งให้กายบิดตะกูดเป็นอนัตตาแต่อย่างใดเลย

ขอเพียงมีจิตที่สั่งสมอนัตตสัญญามาแล้วมาสอดรับกับสถานการณ์จริง
ประกอบกับมีกระแสกุศลเอ่อขึ้นเหมือนกลุ่มน้ำช่วยค้ำชู
ก็เป็นไปได้สูงที่จิตจะดิ่งแน่วเข้าสู่การรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารจนปล่อยวางได้
ทำลายความเห็นมีตัวมีตนในกายใจได้ตลอดรอดฝั่ง
ก็ผ่านขั้นแรกถึงความปลอดภัย
ไม่ร่วงหล่นสู่อบายอย่างเด็ดขาดและเที่ยงที่จะถึงนิพพานในกาลต่อไปได้เอง
กับทั้งระหว่างทางไปนิพพาน
ก็แน่ใจเชื่อมั่นในความปลอดภัยได้ในระดับจิต
เห็นจิตละจากเชื้ออกุศลกรรมหยาบในขั้นที่จะให้ไปสู่อบาย
มีแต่ความรุ่งเรืองโปร่งใสฝักใฝ่ในบุญกุศล
ให้รู้เองว่าจะต้องเกิดตายอีกเท่าไหร่ก็อยู่ในเขตอยู่ในโลกอันเป็นกุศลน่าพึงพอใจ
ไม่ขัดสนเพราะจิตเปิดเป็นทานอยู่แล้ว
ไม่อยู่ในตระกูลต่ำเพราะจิตสูงด้วยศีลอยู่แล้ว
ไม่เป็นจิตเภทไม่สัดส่ายฟุ้งซ่านเพราะจิตมั่นคงดีแล้ว
และจะไม่โง่เขลาเบาปัญญาเพราะจิตเห็นชอบและเข้าหาเครื่องระลึกชอบอยู่แล้ว

ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001037.htm?5#5