คงจำเรื่องที่โสดาบันนางหนึ่งมาอยู่กินกับพรานล่าเนื้อ
ต้องหยิบเครื่องธนูส่งให้สามีเพื่อให้สามีไปทำงานทุกวัน
เมื่อพระภิกษุสนทนากันด้วยความเคลือบแคลงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ว่าทำไมเป็นโสดาแล้วถึงยังหยิบอาวุธให้คนอื่นเอาไปฆ่าสัตว์
หรืออีกนัยหนึ่งร่วมเป็นหุ้นส่วนชีวิตกับผู้ที่ต้องฆ่าสัตว์
(คือให้เขาเลี้ยงดู โดยเอารายได้มาจากปาณาติบาต)
ซึ่งน่าจะเท่ากับเป็นการละเมิดศีลข้อแรกอย่างรู้เห็นเป็นใจ
พอความทราบถึงพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องที่ภิกษุอภิปรายกัน
พระองค์ก็เข้ามาตัดสินให้คลายความสงสัยกัน
โดยตรัสอย่างเป็นกลางตามจริง
ว่านางหยิบยื่นอุปกรณ์ทำมาหากินให้สามีนั้นก็ด้วยหน้าที่
ไม่ได้มีเจตนานึกนิยม หรือปนด้วยความคิดแม้แต่น้อย
ว่าขอให้สามีจงนำอุปกรณ์นี้ไปประหารใคร
เรื่องของ ความคิด หรือ เจตนา นั้น เป็นองค์ใหญ่สุด
เป็นประธานในการประกอบกรรม
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว ถึงแม้มีเอี่ยวกับเรื่องต้องมลทินนับปี
ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ได้
เรื่องของการถูกบีบโดยชะตากรรมให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องมีมลทินนั้น
นับว่าซับซ้อนอยู่ แต่ก็พอแบ่งให้เข้าใจได้ง่ายๆ
ว่าภาวะจำยอม ตกอยู่ใต้เงื่อนไขที่มีอยู่ก่อนแล้ว
กับเพิ่งเข้ามาอยู่ใต้เงื่อนไขโดยมีส่วนร่วมรู้เห็นนั้น