Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๑๓๔

ถาม - ดิฉันทำแท้งเพราะว่ายังไม่พร้อมแต่รู้สึกผิดมาก ไม่อยากอภัยให้ตัวเอง ดิฉันทำบุญไปให้เค้าเสมอ แต่คิดว่าไม่มีผลอะไร บาปมันเกาะกินใจหนาแน่นทำให้คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป รู้สึกรังเกียจตัวเองมาก จะทำอย่างไรดีคะ?

dungtrin_gru2aเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง
เล่าให้ฟังว่าพอเขาทำแท้งแล้วไม่เป็นสุขเลย
เพราะฝันเห็นเด็กผมจุกอยู่เรื่อย
ดูเหมือนจะมาตัดพ้อต่อว่าไม่ขาด

เรื่องความรู้สึกผิด ความไม่สบายใจในบาปที่ทำไป
เป็นสิ่งกัดกิน ทรมานใจ ทำยังไงก็เหมือนจะห้ามความคิดวกวนไม่ได้
จะให้ตั้งสมาธิทำอะไรก็เหมือนล้มเหลวไม่เป็นท่า

ทางที่ดีน่าจะนึกว่าความรู้สึกผิดแรงๆนั้นมีหลายสาเหตุ
ไม่ใช่เรื่องการทำแท้งอย่างเดียว
มีเรื่องการทำให้คนรักติดโรคสำส่อนเรื้อรัง
มีเรื่องการยืมโฉนดที่ดินพี่น้องมาเล่นไพ่เสียจนเดือดร้อนแทบเป็นบ้า
มีเรื่องการตัดสินใจผิด ทำให้คนทั้งประเทศต้องเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟ
มีสารพัดเรื่องที่ทำให้คนทอดอาลัยตายอยากกับความรู้สึกผิด ถอนไม่ขึ้น

ผมเองก็เคยทำผิด สำนึกผิด
เคยรู้สึกเหมือนมีอะไรกัดกร่อนอยู่ในอก
แต่อาจโชคดีที่แก้ความรู้สึกผิดได้
เพราะเจ้ากรรมนายเวรยังมีชีวิตกันอยู่
ยังเห็นหน้าเห็นตา พอจะทำคุณไถ่โทษได้บ้าง
แม้บาปกับบุญจะแยกกันเป็นคนละส่วน
แต่สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ตรงบุญบาปที่มองไม่เห็น
มันอยู่ที่ความสบายใจในกลางอกเรานี้มากกว่า
ถ้าเราทำอะไรแล้วสบายใจขึ้นได้ ก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ถูก
เป็นความถูกเฉพาะตัว

การคิดมากจนถึงขั้นรังเกียจตัวเอง
หรือกระทั่งจะทำบุญ นั่งสมาธิ ก็รู้สึกว่าเราไม่คู่ควรนั้น
เป็นสัญญาณบอกได้อย่างหนึ่ง
ว่าเรากำลังเข้าใจผิด
และเป็นความเข้าใจผิดชนิดอันตรายร้ายแรง
ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง
ตัวเองที่ยังมีชีวิต คนรอบข้างที่ยังมีชีวิต
อาจจะรวมทั้งสิ่งไร้ชีวิต
เช่นวิญญาณลูกที่วนเวียนอยู่ด้วยความน้อยใจ
มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้จากส่วนลึก
ยิ่งเรากระวนกระวายเศร้าสร้อยมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งกลายเป็นแรงเร่งให้วิญญาณเขาไม่เป็นสุขเท่านั้น

การแก้ความเข้าใจผิดเป็นเรื่องยาก
โดยเฉพาะถ้าเป็นคนมีนิสัยช่างคิดช่างย้ำ
ลองหัดเปลี่ยนมุมมองใหม่
ก่อนหลับก็เป็นคนหนึ่ง ขณะฝันก็เป็นอีกคนหนึ่ง ตอนตื่นก็เป็นอีกคนหนึ่ง
หากเป็นคนเดียวกัน ก่อนหลับก็คงกำหนดได้ว่าจะฝันร้ายหรือฝันดี
ตอนหลับก็คงรู้ตัวได้ว่าเป็นเราตลอดเวลา
ตอนตื่นก็คงจำได้ละเอียดลออว่าเมื่อกี้ฝันอะไรบ้าง มีรายละเอียดยังไงบ้าง
แต่นี่ไม่ใช่เลย เราไม่เคยสังเกตกระบวนการอันตัดตอนเป็นช่วงๆ
ไม่เคยตระหนักว่าร่างกายวันนี้กับพรุ่งนี้ กระบวนการเคมีภายในมันเปลี่ยนไปแล้ว
เป็นคนละร่างแล้ว
ไม่เคยตระหนักว่าจิตก่อนหลับ ขณะหลับ กับตอนตื่น มันไม่ใช่อันเดียวกันสักอย่าง
เป็นคนละดวงแล้ว

ที่จำได้เหมือนเป็นคนเดียวกัน คิดว่าเป็นคนเดียวกัน
เพราะจิตมีความรู้สึกในตัวตนฝังแน่นอยู่เต็มอก
คราวหน้าตื่นขึ้นมาลองดูตัวเองใหม่
กายที่รู้สึกนอนอยู่มันอันเดียวกับเมื่อกี้ที่ฝันหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็บอกตัวเองตามจริงว่าไม่ใช่
ใจที่นึกคิดอยู่มันอันเดียวกับความรู้สึกเมื่อกี้ที่ฝันหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็บอกตัวเองตามจริงว่าไม่ใช่
มีแต่อะไรบางอย่างครอบงำ ลวงจิตอยู่ว่าเป็นฉัน เป็นอันเดิม ตัวเดิม

ถ้ารู้สึกได้ว่าทั้งกายทั้งจิตมันเป็นคนละอันกับเมื่อวานแล้ว
รู้สึกให้ได้จริงๆนะ
ก็บอกตัวเองเสียว่าตื่นใหม่ เป็นคนใหม่แล้ว
ไม่เกี่ยวกับตัวตนร้ายๆเมื่อวานแล้ว
ตัวตนวันนี้ทำอะไรใหม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนเมื่อวาน

ถ้าวันนี้ทำดี ก็เป็นตัวตนใหม่ที่ดี
เป็นเรื่องของวันนี้
และจะเป็นชนวนให้พรุ่งนี้มันดูแลตัวเองเป็น
เพราะกายและใจมนุษย์เหมือนกระบวนการเคมี
ที่เกิดขึ้นเพื่อแปรปรวนไปอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดชนวนของสายกระบวนการหนึ่ง
จะไม่มีวันย้อนกลับไปสู่ความเป็นเช่นเดิม
มีแต่จะเปลี่ยนไปเป็นอื่น และอื่น และอื่น
สุดแล้วแต่จะถูกกำหนดให้เป็นของเสียหรือของใช้ประโยชน์ได้

ถ้าเกิดมาเรารู้จักแต่ที่จะคิด ที่จะไหลตามกิเลส
ก็เหมือนความเป็นมนุษย์นี้ คือก้อนขี้ที่ห่อหุ้มบาปกรรมไว้รอส่งกลิ่นเหม็นอย่างเดียว
แต่ถ้าเกิดมาเพื่อชำระกิเลส ทวนกระแสเสียได้
ก็เหมือนความเป็นมนุษย์นี้ คืออุปกรณ์สร้างบุญบารมีไว้รอความสว่างเย็นถ่ายเดียว

ทุกอย่างเริ่มจากความคิด
มีเพื่อนไว้หลายๆคน ช่วยกันพูดอะไรดีๆอย่างในกระทู้นี้
ก็สร้างสรรค์ความคิดดีๆให้เกิดขึ้นได้
สร้างสรรค์ความรู้สึกดีๆ อบอุ่นปลอดภัยเหมือนอยู่ในห้อมล้อมของญาติมิตรได้

สำคัญตรงที่เมื่อความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้นแล้ว
เราลงมือต่อยอดให้เป็นผลถาวรหรือชั่วคราว
ถ้าลูกเรายังอยู่
เขาคงขอร้องให้สร้างกระแสบุญ
เป็นข่ายใยแห่งบุญจากแม่ที่เผื่อแผ่ไปถึงเขา
คงไม่สะใจกับการผูกเวรแม่ตัวเอง
เห็นแม่ตัวเองร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วมีความสุข
จะยิ้มเพื่อใคร หรือร้องไห้เพื่ออะไร
มันตัดสินกันได้ที่จุดเริ่ม คือความคิดนี้เอง

โดย ดังตฤณ
ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000244.htm