Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๑๒๒

ถาม - ผมปฏิบัติธรรมมาสักระยะแล้วครับ ตอนนี้พบว่าเบื่อการพูดคุยเรื่องไร้สาระ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนชอบทำ อีกเรื่องหนึ่งก็คือบางครั้งก็รู้สึกเบื่อโลก จนอยากหนีไปบวชไปปฏิบัติจริงๆ จังๆ จิตแบบนี้เป็นกุศลหรืออกุศลครับ

dungtrin_gru2a1) ได้ยินผลชนิดนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติแล้วครับ
เท่าที่สังเกตมา แม้คนไม่ปฏิบัติธรรมจำพวกหนึ่ง
ก็รังเกียจเดียดฉันท์วจีทุจริตมาตั้งแต่แรกรู้ความ
เพราะเข้ากันไม่ได้กับประเภทจิตของเขาที่ออกไปทางเย็น สงบ เป็นกุศล

คนทั่วไปสามารถรับกับการเจ๊าะแจ๊ะแบบไม่มีจุดหมายปลายทางได้
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องสังสรรค์เจรจากันบ้าง
การพูดคุยส่วนใหญ่ยืนพื้นอยู่บนการ "แก้เหงา" หรือการ "ทำตัวให้กลมกลืน"
มากกว่าต้องการแลกเปลี่ยนสาระจริงจัง
เมื่อทำจนเป็นความเคยชิน จึงต้องหาอะไรมาพูดสักอย่าง ไม่ว่าจะดินฟ้าอากาศหรือผู้คนใกล้ตัว

เมื่อเริ่มปฏิบัติธรรม คลื่นจิตของคนปฏิบัติได้ผลมักเปลี่ยนไป
แม้ไม่ทรงตัวเป็นปกติ ก็มีความละเอียดอ่อน
หรืออย่างน้อยสงบลงเหมือนคลื่นทะเลบริเวณที่ลมอ่อนแรง
จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเจอสิ่งกระทบให้ปั่นป่วนขึ้นมา
แล้วจะเกิดความรู้สึกโยกไหวอยู่ภายใน ทำให้มีปฏิกิริยาเป็นความรู้สึก "ไม่ชอบ" ตามมา

ผมเองมีอยู่หลายช่วง หลายจังหวะในเรื่องของการพูดคุยกับผู้คน
ตอนเด็กค่อนข้างพูดกับใครต่อใครไม่รู้เรื่อง เหมือนสื่อกันไม่ได้กับชาวโลกเขา
เลยขาดความเชื่อมั่น และไม่ชอบพูดจาไปโดยปริยาย
ต่อมาเมื่อจำเป็นต้องร่วมกลุ่ม ต้องทำงานบรรยายต่อหน้าผู้คน
ก็จำเป็นต้องปรับตัว ปรับนิสัยในการพูดคุยเสียใหม่
แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ของมันเปลี่ยนกันได้เหมือนกัน
แทบจะเรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

ผมสังเกตว่าตอนใจเราไม่อยากพูด ใจมันเงียบๆ อยากจ่อกับอารมณ์ภาวนา
แล้วเกิดเหตุจำเป็นให้ต้องพูด ต้องคุย ต้องเปิดกว้างเพื่อทำงาน
ทำชีวิตสังคมให้เป็นปกติตามวิสัยฆราวาสนั้น
แทนที่เราจะปักใจ "รังเกียจ" การต้องเปิดหูฟัง เปิดปากพูดตามความรู้สึกแรกสุด
ก็ทำความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง เหมือนตอนจะยกอารมณ์ภาวนาเช่นลมหายใจ
คล้ายตั้งจิตให้อยู่ในโหมด "active" แทนที่จะเป็น "passive" เหมือนใจอยาก
ถ้าใครมาชวนคุยเรื่องไร้สาระ เราก็วางจิตไว้เลยว่าตรงนี้เริ่มรับเรื่องไร้สาระแล้วนะ
ขณะเดียวกันก็ทำความรู้สึกแฝงอยู่ในส่วนลึกอีกชั้นหนึ่ง
ว่าเราจะรับเรื่องไร้สาระนั้นได้ถึงขีดไหน
เอาสภาพจิตของตัวเองนั่นแหละเป็นขีดวัด
เราคุยไปได้ตามปกติเหมือนที่เคยคุยมา
แต่ให้จิตตัวเองเป็นเครื่องวัดและส่งเสียง alarm ที่ทันสมัย
พอทราบชัดว่าเริ่มเหม่อ เริ่มฟุ้งเปะปะ ก็ให้นึกในใจคล้ายมีเสียงป๊องๆๆบอก
ว่าโอเคแค่นี้บริการสังคมมาพอแล้ว ถึงเวลากลับไปบริหารจิตใจตัวเองต่อ

สรุปคือไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระนั้นดีแล้ว ถูกทางแล้ว เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นประจำครับ
สำหรับผู้ปฏิบัติที่ทำจริง เอาจริง
แต่ก็ควรรักษาสถานภาพคนเมืองไว้นิดหนึ่ง มีการยืดหยุ่นผ่อนปรนบ้าง
ถ้าทำเป็นขรึมเหมือนฤาษี ก็อาจทำให้คนรอบตัวเคราะห์ร้าย มาล้อเลียนให้เกิดบาปเกิดกรรมกับเขา

อย่างไรก็ตาม วจีทุจริตเป็นสิ่งควรเลี่ยงไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ
คงเข้าใจอยู่เองด้วยสัญชาตญาณ ว่า "เล่น" แค่ไหนไม่สะเทือนจนเสียคุณภาพจิต

2) การเบื่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พบเป็นปกติ
ทั้งที่ประสบกับตัวเองและฟังคนอื่นเล่า ก็ตรงกันประการหนึ่ง
คือถ้าเบื่อแล้วมันเอียนเหมือนรู้สึกจะอ้วก ถ้าต้องฝืนทนกับความเป็นอยู่เดิมๆ

อยากแนะนำให้ลองเปลี่ยนสถานที่ในช่วงเวลาสั้นๆ
ปลีกตัวไปสงบสักวันสองวัน หรือลางานได้อาทิตย์หนึ่งก็ยิ่งดี
พอเปลี่ยนบรรยากาศให้หายเซ็งแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องกลับมาอยู่กับของเก่า

ถ้ายังไม่หายเบื่อ บางทีต้องสังเกตใจตัวเองดีๆเหมือนกัน
ว่าความเบื่อนั้นมาจากอะไรกันแน่
เท่าที่เห็นมา บางคนมีใจแช่อยู่ครึ่งๆกลางๆ ระหว่างอยากสงบ กับขี้เกียจทำอะไรเลยสักอย่าง
อาจจะเพราะเห็นโลกเป็นของไร้สาระ หรือติดใจความสบายในการปฏิบัติแบบเอาสงบอย่างเดียว

จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมเห็นตัวอย่างนักปฏิบัติที่ได้ดีถึงใจ
เข้าตากรรมการคือครูบาอาจารย์พระป่ามากต่อมาก
ที่ตื่นเช้าขึ้นมาทำงานเต็มที่ รบกับความแปรปรวนของผู้คนเต็มกำลัง
ตกเย็นกลับบ้านปิดประตูลงกลอน นั่งสมาธิเดินจงกรมราวกับตัดขาดจากเมืองไปอยู่ป่า

ชีวิตแบบครึ่งโลกครึ่งธรรมเป็นไปได้โดยไม่ขัดแย้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมีกำลังจิตกำลังใจดีพอ สดชื่นจากการปฏิบัติดีพอ
ก็สามารถไปอยู่กับโลกด้วยท่าทีตั้งมั่นรับได้
สังเกตสภาพจิตใจตัวเองได้ เป็นเครื่องส่งสัญญาณ alarm ให้ตัวเองได้
ว่าจะฟื้นฟูสภาพกลับมาเป็นปกติได้ทันท่วงทีได้อย่างไร

ในทางปฏิบัติคงไม่พูดกันเป็นอุดมคติ ว่าเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ขณะทำงาน
เพราะงานสมัยนี้บางทีก็เต็มกลืนจริงๆ
งานบางประเภทดูดจิตดูดใจเราเข้าไปคลุกแบบไม่เปิดช่องให้ตั้งสติใดๆได้
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องดีครับ หากมีเครื่องทุ่นแรงไว้บ้าง
ใครถนัดตามลมหายใจก็เอาตัวรู้ลมหายใจมาช่วยเป็นระยะๆ
ใครถนัดตามรู้เคาะก็เอาตัวรู้เคาะมาช่วยเป็นระยะๆ
(วางมือแนบหน้าตักแล้วกระดิกนิ้วเคาะไปไม่ช้าไม่เร็ว พอให้เกิดความรู้สึกตัว
ไม่ต้องเพ่งจ่อมาก พอรู้เคาะไปสักนาที-สองนาที
จิตใจจะถูกดึงกลับมาเป็นปกติได้ไม่ยากเย็นเลย)

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002271.htm?1#1