Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๙๒

ถาม - เราจะปฏิบัติอย่างไรให้ได้ผล ลดละกิเลสลงได้ครับ?

dungtrin_gru2

ความจริงการปฏิบัติที่ได้ผล
ลดละกิเลสลงได้นั้นมีอยู่หลายระดับ
แค่เข้าใจธรรมะ อย่างถูกต้อง
เข้าใจเรื่องสังสารวัฏและนิพพานอย่างถูกต้อง
หรืออีกนัยหนึ่งโดยย่นย่อคือเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ได้ถูกต้อง
ก็นับว่า "กระแทก" กิเลสให้บุบลงได้หน่อยหนึ่งแล้ว

แต่ที่จะทำให้กิเลสบอบช้ำ หรือถึงขั้นแหว่งวิ่น
กะเทาะให้ร้าว กระทั่งแตกหักได้
จะต้องเป็นผู้มีความตั้งมั่นจริง
ที่จะเปิดจิตเปิดใจเป็นทาน คุมจิตให้อยู่ในกรอบของศีล
แล้วไต่ระดับขึ้นไปกระทำจิตให้อยู่ในสภาพสงสงัดจากกิเลส ยิ่งยืนนานยิ่งดี
แล้วจึงใช้ความสงัดจากกิเลสนั้น แยกดูให้ออก
นับเริ่มจากเห็นสภาพความเป็นจิตเอง

คำ ว่า "สภาพ" ความเป็นจิตเองนั้น
หมายเอาลักษณะต่างๆของจิตที่ปรากฏอยู่เป็นหนึ่งเดียวรวมดวงนั้น
เช่น นิ่ง มั่นคง สว่าง เป็นกุศล และเป็นธรรมชาติรู้
เมื่อเปรียบดูกับลักษณะความเป็นกาย เช่นแข้นแข็ง เป็นรูปสัณฐานต่างๆ
เช่น กะโหลก ลำตัว แขน ขา ตลอดกระทั่งดูลักษณะของรูปชนิดต่างๆ
เช่นภาพ เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

พอดูแยกได้ (แบบเห็นรวดเดียวจากศักยภาพของจิต)
ว่ารูปกับนามเป็นคนละอัน อันนั้นจึงนับว่าเรียกวิปัสสนา
เพราะวิปัสสนานั้น ขึ้นต้นด้วยนามรูปปริจเฉทญาณ
ก็โดยนัยความหมายที่กล่าวมานี้เอง

เมื่อแยกออกว่านี่เป็นผู้ดู ผู้นิ่งอยู่ตรงกลาง จึงจะเห็นสิ่งที่ถูกดูต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา หรือสังขาร เป็นสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ที่ตรงนั้นกิเลสจึงถูกกะเทาะออกอย่างจริงจัง เพราะอุปาทานอันเกิดจากการรวมรูปรวมนามขาดหายไปชั่วขณะ
สำคัญคือคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจวิธีทำสมาธิให้จิตนิ่ง ไม่เข้าใจวิธีการใช้จิตนิ่ง
ตั้งโลกทัศน์ภายในไม่เป็น
บางคนจับแค่ส่วนของอิริยาบถบรรพ หรืออายตนบรรพ
ก็นึกว่าเป็นวิปัสสนา กำลังทำวิปัสสนา
และรอให้เกิดการแยกรูปแยกนามขึ้นเอง

อย่างนี้สิ่งที่เห็นก็แค่รูป จะไม่มีวันเห็นนาม อย่าว่าแต่จะสามารถกำหนดแยกรูปแยกนามได้

นี่แหละครับ จะไปให้ถึงที่สุด ต้องทำความเข้าใจอย่างจะแจ้งแทงตลอด
ว่าตำราท่านกล่าว ไว้อย่างไร
และต้องมีผู้ที่สามารถให้คำปรึกษาเมื่อเราติดขัด
เมื่อได้รับคำปรึกษาแล้วเห็นผลจริงสามารถปฏิบัติต่อได้

ต้องช่วยกันสืบทอดพระศาสนาด้วยการปฏิบัติจริงอย่างนี้
เพราะแค่อ่าน หรือฟัง โดยขาดการปฏิบัติที่ถูก
เรียกได้ว่าเป็นการรักษาอักษร ไม่ใช่รักษาธรรม

?