Print

ดังตฤณวิสัชชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๔๔๒

 

dungtrin_cover

dungtrin_gru2a

 ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ ฉบับที่ ๔๔๒

พฤศจิกายน ๒๕๖๖

 

ผลกรรมของการมีใจยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นถูกกระทำให้เดือดร้อนคืออะไร

 

ถาม – ขออนุญาตถาม ๒ คำถามนะครับ
คำถามแรกคือถ้าเราดูคลิป (video clip) ที่มีคนถูกเเกล้ง
เเล้วจิตเกิดความยินดีขึ้นมาเอง เราจะบาปไหมครับ
คำถามที่สองคือถ้าเห็นได้อย่างแจ่มเเจ้งว่าจิตไม่ใช่เราจริงๆ จะเป็นอย่างไรครับ

 

ตอบ - ดูคลิปแบบไหน ใจก็ปรุงแต่งไปแบบนั้น
ถ้าดูคลิปแกล้งคน ต้องถามด้วยว่าเขาเดือดร้อนหนักขนาดไหน
ถ้าเดือดร้อนขนาดถึงตาย แล้วเรายินดี
แบบนี้เนี่ยใกล้ๆ กันกับร่วมฆ่าเลยนะ ร่วมลงมือฆ่าเลย ใกล้เคียงนะ
คือมันไม่ใช่ปานาติบาต
แต่มันมีแนวโน้มที่จะทำให้วันหนึ่งเรามีจิตยินดี คิดฆ่าคนขึ้นมาได้

พูดง่ายๆ ว่าเข้าไปอยู่ในวงโคจรของพวกเพชฌฆาต
คือพอมันมีจิตยินดีไปกับเขา ตัวนี้เนี่ย
เขาทำอะไร เราก็เข้าไปมีความเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ


แต่ถ้าแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ในแบบที่เอาฮา
แล้วมีความรู้สึกขำขันไปด้วย นี่ก็ออกแนวแบบคึกคะนอง
คือมันมีหลายแบบเหลือเกินนะ
อย่างพวกที่แกล้งแบบสร้างสรรค์ ลงทุนให้ตัวเองเจ็บตัว
แล้วให้คนอื่นอ้าปากหวอ ตกใจอะไรแบบนี้เนี่ย มันก็ระดับหนึ่ง
แต่ประเภทที่ทำให้เขาเดือดร้อน
ให้เขาวิ่งไล่ วิ่งหนีจนจะทับกันตายอะไรแบบนี้
นั่นก็อีกระดับหนึ่ง มันแล้วแต่ระดับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น

 

ถ้าใจเรามีความยินดีไปกับความเดือดร้อนหนักๆ อย่างนี้
มันมีผลตรงที่ทำให้เราไปมีส่วนกับที่จะต้องเสวยทุกข์ในแบบนั้นๆ
คือไม่หนักเท่ากับคนทำ คนลงมือทำ
แต่ว่ามันจะมีส่วนติดมาด้วย เขาเรียกว่าเป็นกตัตตากรรม
คือกรรมนั้นเราไม่ได้จงใจเจตนาด้วยตัวเอง แต่เราพลอยยินดีไปกับผู้ทำ
คือพอเห็นผลว่าเกิดอะไรแบบนั้น มันนึกสนุกไปกับเขา นึกยินดี นึกปลื้ม

เป็นข้างเดียวกันไปกับเขา มันก็ได้ส่วนกรรมเดียวกับเขามา
เวลาที่รับผล สมมติเขาต้องรับเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
เราอาจรับสักสิบเปอร์เซ็นต์อะไรแบบนั้น
มันไม่ใช่กรรมอันเกิดจากเราจงใจด้วยตัวเอง แล้วก็มีคนเดือดร้อนเพราะเราเอง

แต่เป็นกตัตตากรรม อันเกิดจากการยินดีร่วมไปกับเขา

 

อีกคำถามหนึ่งที่บอกว่า ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าจิตไม่ใช่เราจริงๆ
ก็บรรลุมรรคผลเลยนะ
คือถ้าหากว่าการเห็นนั้นสตินั้นมีกำลังมากพอที่จะรวมให้จิตเข้าถึงฌานได้
ฌานนั้นจะเป็นมรรคผลนะครับ

เพราะว่าจิตเป็นพื้นยืนที่สำคัญของตัวตน
อุปาทานว่ามีตัวเราก็อยู่ตรงที่ว่าเรามีจิต เรามีความคิด
เรากำลังรู้สึกนึกคิดอยู่ เรากำลังมีสภาพทางใจแบบนั้นแบบนี้
ตัวที่มันสำคัญมั่นหมายไปว่าสภาวะของจิตนั้นๆ สภาวะจิตหนึ่งๆ เป็นตัวเรา
พอมันถูกมองได้เป็นครั้งแรกว่ามันไม่ใช่ มันเป็นแค่ธาตุรู้ วิญญาณธาตุ
มันปรากฏขึ้นเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวมันก็ดับหายไป
เหมือนมายากลที่ปรากฏแค่ชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็แปรปรวนไป แปรไปเป็นอื่น


เนี่ยตัวนี้ถ้าหากว่าจิตมันมีสติ มันมีกำลังมากพอ
แล้วรู้ได้ว่าจิตไม่ใช่เรา มันก็โพล่งขึ้นมาเป็นการบรรลุ

จะขั้นโสดาหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ
แต่ถ้ายังมีกำลังอ่อน แค่เห็นแผ่วๆ ว่าจิตไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่เรา
มันเป็นเหมือนกับสภาวะ เป็นธาตุอะไรสักอย่างหนึ่ง
ที่ปรากฏขึ้นมาชั่วคราวแล้วหายไป โดยไม่มีการรวมเป็นฌาน
อย่างนั้นก็ไม่ได้มรรคผล แต่ได้เป็นวิปัสสนานะครับ
ได้เป็นปัญญาเห็นความจริง ได้เป็นสติรู้เข้าไปในภาวะภายใน
แล้วก็จะเป็นบันไดขั้นต่อๆ ไปให้กับวิปัสสนาญาณที่สูงขึ้น