Print

ดังตฤณวิสัชชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๔๔๑

 

dungtrin_cover

dungtrin_gru2a

 ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ ฉบับที่ ๔๔๑

ตุลาคม ๒๔๖๖

 

เมื่อเกิดความกลัวเพราะรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ควรทำอย่างไร

 

ถาม – หลังจากที่ฝึกเจริญสติมาระยะหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งผมตื่นนอนขึ้นมา
แล้วรู้สึกว่ากำลังอยู่ในร่างหนาๆ โดยที่ตัวเองตัวเล็กนิดเดียว
แล้วก็รู้สึกด้วยว่าร่างกายทั้งตัวไม่ใช่ของผม
หากจะไม่มีแขนหรือไม่มีขาก็ไม่ใช่ของแปลก
ในขณะนั้นก็เกิดความกลัวขึ้นมาด้วย
แต่แล้วสักพักความรู้สึกนี้ก็หายไป อาการแบบนี้มันคืออะไรครับ

 

ตอบ - การเห็นรูป เห็นกายโดยความเป็นรูปขันธ์
เกิดความรู้สึกอย่างนี้แหละ
แล้วเสร็จแล้วพอเกิดความกลัวขึ้นมา อันนั้นเนี่ยสังขารขันธ์เกิดขึ้นตามมา
แต่เราไม่รู้ ไม่ได้ทำความเข้าใจไว้ก่อน
ว่านี่เรียกว่ารูปขันธ์ นี่เรียกว่าสังขารขันธ์
แต่ต่อจากนี้คุณรู้แล้ว ตอนที่รู้สึกตัวเองอยู่ในก้อนอะไรก้อนหนึ่ง
ที่มันหนาๆ มีรยางค์ มีหัว มีหาง
แล้วเราไม่เคยออกแบบ เราไม่เคยสมยอมเลยว่าจะมาอยู่ในร่างแบบนี้
แต่ก็มามีร่างแบบนี้ผุดขึ้นมากักขังเรา
ราวกับว่าอยู่ๆ ตื่นขึ้นมา มีสติขึ้นมากลางฝัน
ฝันจากที่เดิมทึกทักว่ามีตัวเราเป็นนั่นเป็นนี่แน่ๆ
ตอนนี้กลายเป็นว่ามีสติว่านี่กำลังฝัน
แล้วร่างนี้นิมิตแบบนี้มาจากไหนก็ไม่รู้
ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นนิมิตฝัน

 

รูปขันธ์เป็นนิมิตฝันชนิดหนึ่ง
แต่เป็นนิมิตฝันประเภทที่ฝันค้าง ค้างอยู่เรื่อยๆ
ค้างคาไม่ใช่คาใจ ไม่ใช่ค้างแบบยังไม่ได้เต็มฝัน
แต่ค้างคาอยู่ในอะไรที่มันเหมือนจับต้องได้ แล้วจับต้องได้ไปเรื่อยๆ
แต่ที่แท้แล้วมันเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทีนี้พอคุณเห็นโดยความเป็นรูปขันธ์แบบนั้นแล้ว
แล้วมันเกิดขึ้นมาเองนะความกลัวเนี่ย
ก็ให้รู้ต่อว่าเรากำลังรู้รูปขันธ์
แล้วสังขารขันธ์ชนิดมืด ชนิดที่เป็นอกุศล
หรือเกิดอาการกลัวขึ้นครอบงำจิต จิตหด
มันก็เป็นกองขันธ์อีกกองหนึ่งอีกประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่าสังขารขันธ์
พอเห็นสังขารขันธ์โดยความเป็นสังขารขันธ์ ไม่เห็นว่าเป็นความกลัวของเรา
จะพบว่าอาการมืด อาการบีบจิตมันเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียว
แล้วมันก็สลายตัวไป กลายเป็นความรู้สึกว่างๆ ขึ้นมาแทน

 

ถ้าคุณยังมีสติเท่าทันอีกว่าสังขารขันธ์ชนิดมืดผ่านไป
มันคลี่คลายกลายเป็นสังขารขันธ์ชนิดสว่าง
ชนิดที่รู้สึกใจว่างๆ สบายๆ ไม่ได้เป็นสุข ไม่ได้เป็นทุกข์
อย่างนี้เรียกว่าเห็นความไม่เที่ยง
เห็นเหตุปัจจัยของสังขารขันธ์ เป็นปัญญาแบบพุทธ
แล้วยิ่งถ้าหากว่าคุณสามารถเห็นกายโดยความเป็นรูปขันธ์
และเห็นการปรุงแต่งทางใจ กลัวหรือว่าไม่กลัวก็ตาม
สักแต่เป็นสังขารขันธ์ไปเรื่อยๆ นี่นับว่าเป็นการประสบความสำเร็จ
ในการเห็นกายใจเป็นขันธ์ ๕ เห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามได้

 

นี่ตัวนี้แหละที่มันจะทำให้เราเกิดความเข้าใจ
มีสัมมาทิฐิในแบบที่จะพัฒนาต่อ เห็นขันธ์ ๕ ได้
ลองดูว่าจะพัฒนาต่อเป็นการเห็นสังโยชน์ต่อได้ไหม
ลองดูย้อนกลับไปตอนที่แล้ว
พูดถึงตัวที่มันแอดวานซ์ (
advance) กว่าเห็นขันธ์ ๕ ขึ้นมา
ก็คือเห็นสังโยชน์
แล้วถ้าหากว่ายังไม่เคยดูตามกันมาก่อน
ก็ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่
ep แรก (episode) ที่พูดถึงการหายใจให้เป็น
เพราะว่าอย่างเห็นภาวะอะไรที่มันดูเหมือนกับเป็นประสบการณ์ที่ใหญ่ทางธรรม
ใครๆ ก็เห็นได้กันทั้งนั้นแหละ พูดกันจริงๆ นะ
แต่ที่จะเห็นได้เรื่อยๆ ที่จะเห็นได้โดยที่มีพัฒนาการในทางขาขึ้นไปเรื่อยๆ
มันต้องมีตัวรองรับที่แรงพอ
ถ้าเราได้อานาปานสติเป็นเครื่องพยุง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
เป็นเครื่องชักจูงลากพาให้เกิดความก้าวหน้าต่อๆ ไป แล้วก็ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
เราจะเห็นเลยว่าการมีวิธีทำสมาธิที่ใช่
แล้วก็ที่มันจะทำให้เห็นกายใจได้เรื่อยๆ เนี่ย สำคัญขนาดไหนนะครับ