Print

ดังตฤณวิสัชชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๔๓๑

 

dungtrin_cover

dungtrin_gru2a

 ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ ฉบับที่ ๔๓๑

มิถุนายน ๒๔๖๖

 

ปฏิบัติธรรมแล้วยังสามารถเสพความบันเทิงต่างๆ ได้ไหม

ถาม (๑) – ดิฉันปฏิบัติธรรมมานานพอสมควร จนปัจจุบันไม่ค่อยโกรธแรงๆ แล้ว
และสามารถเห็นความเกิดดับได้ชัดเจน
แต่ยังมีความกังวลและคิดมากในเรื่องต่างๆ อยู่บ้าง
ซึ่งบางครั้งก็หาทางออกด้วยการไปเสพความบันเทิงต่างๆ เช่น ดูละคร ฟังเพลง
แต่ดิฉันก็คิดว่าทำแบบนี้คงไม่ค่อยถูกทางเท่าไหร่ รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ

ตอบ (๑) ไม่เป็นไรหรอก คือคุณไม่ต้องไปกังวลมาก
เราเป็นฆราวาสเนี่ยนะ อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
ที่จะเสพความบันเทิงบ้างอะไรบ้าง
ไม่ต้องไปแบบโอ้โหคาดคั้นตัวเองว่าจะต้องอยู่ในกรอบ
แบบนักปฏิบัติฟูลไทม์ (
full-time) ที่ท่านถือเพศบรรพชิตกันแล้ว
คือผมเข้าใจดีที่เราทำๆ กันเนี่ย จริงๆ แล้วขัดแย้งกับเพศสภาพที่เป็นฆราวาสอยู่นะ
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ได้เห็นนะว่าเราทำกันได้จริง
เหมือนกับในสมัยพุทธกาล ท่านก็ทำกันได้จริง ทั้งๆ ที่เป็นฆราวาสอยู่


คืออย่าไปถึงขั้นว่ากังวลว่าจะต้องให้ได้แบบนักปฏิบัติฟูลไทม์นะครับ
เราเป็นนักปฏิบัติพาร์ทไทม์ (
part-time) ที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ทำแบบเรื่อยๆ ทำแบบเหมือนเล่นๆ แต่ว่าเอาจริง ต่อเนื่อง
ในที่สุดมันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเองโดยที่ไม่ต้องไปเกร็งมาก
พวกที่เกร็งมาก ผมเห็นมามากแล้วที่พอถึงจุดหนึ่งหยุดเลย
บอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว ทนอยู่ไม่ได้
ไม่รู้จะเลือกข้างไหน เอาสว่างหรือเอามืด
ก็ให้มันเทาๆ ไปก่อนนะครับ
ให้มันแบบว่ามีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบที่เราเป็นตามอัตภาพ เอาแบบนั้น
จะดูหนัง ดูละครอะไรก็ช่างเถอะ

แต่ให้รู้ด้วยก็แล้วกันว่าที่เราดูหนังดูละคร ผลลัพธ์มันเป็นจิตแบบไหน
หลงแบบยืดเยื้อไปเป็นวันๆ หรือเป็นเดือนๆ
แล้วก็ขี้เกียจปฏิบัติไปเลยหรือเปล่า แบบนั้นน่ะเรียกว่ามากเกินไป
แต่ถ้าดูหนังดูละคร ตามใจกิเลสมันหน่อย แล้วก็มาคิดถึงการภาวนา
อย่างนี้เรียกว่าเป็นการผ่อนสั้นผ่อนยาว ผ่อนหนักผ่อนเบาแบบพอดีๆ

ในแบบที่จะกลับมารีเฟรช (
refresh) ตัวเองใหม่ได้นะครับ

 

-----------------------------------------------------------------

 

ถาม (๒) – ดิฉันกำลังมีปัญหาชีวิตหนักมากในแทบทุกด้าน
แต่ก็พบว่าใจตัวเองอยู่ห่างๆ ไม่ค่อยเข้าไปคลุกกับปัญหาเหมือนแต่ก่อน
และพยายามแก้ไขไปทีละจุดอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ดิฉันได้พยายามนั่งสมาธิแต่พบว่ามีโมหะมาก จึงสวดพระปริตรเกือบทุกวัน
อยากขอคําแนะนําว่าควรต้องทําอะไรอีกบ้าง เพื่อให้ผ่านจุดหนักที่สุดไปให้ได้ค่ะ

ตอบ (๒) ที่เรารู้สึกเหมือนห่างๆ ออกมาเนี่ยนะ
ก็คือจิตของเราไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นมากนั่นเอง
ก็ฝึกต่อไปตามแนวทางที่เราเรียนรู้กันมานั่นแหละ
คือมันไม่มีหรอกแบบที่อุบายอะไรสักอย่างหนึ่ง
เราเพิ่มเข้าไปแล้วทุกอย่างมันดีขึ้นนะ
แต่ถ้าเราทำมาจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าจิตมันอยู่ห่างๆ
อาการยึดมันน้อยลง เหมือนกับเป็นคนดูอยู่เฉยๆ
แค่นี้น่าพอใจที่สุดแล้วสำหรับการแก้ปัญหาแบบโลกๆ
เพราะว่าแสดงให้เห็นว่าปัญหามันวิ่งมาไม่ถึงหัวใจเรา
ตัวชีวิตเนี่ยมันยิง มันลั่นไกใส่หัวใจเรา แต่ไม่ถึง มาไม่ถึง

จะสวดมนต์บทไหนก็ตาม

ถ้าหากว่าช่วยเป็นต้นทุน ช่วยเป็นความชุ่มชื่น
ให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นได้ก็นับว่าประเสริฐทั้งนั้นนะครับ
ที่จะต้องทำเพิ่ม มันก็คือทำต่อไปเรื่อยๆ
ความต่อเนื่องคือความก้าวหน้า ท่องไว้เป็นคาถาเลยนะ