Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๓๙๕

 

dungtrin_cover

dungtrin_gru2a

 ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ ฉบับที่ ๓๙๕

มกราคม ๒๕๖๕

 

นั่งสมาธิในขณะที่ฟังธรรมได้หรือไม่

 

ถาม (๑) – ฟังธรรมไปด้วยนั่งสมาธิไปด้วยได้หรือเปล่าครับ

ตอบ - ได้ครับ ครูบาอาจารย์ ท่านก็สนับสนุนด้วย
เพราะว่าเวลาที่เรานั่งสมาธิ จะดูลมหายใจก็ตาม
จริงๆ ควรจะดูลมหายใจนะ
ถ้าบริกรรมนี่จะไม่ค่อยได้ยินคำครูบาอาจารย์

เทศนาธรรม เวลาที่พูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรมา
แล้วเรามาพุทโธๆ พุทโธ แบบนี้
คำว่าพุทโธเอาไปกินหมด เสียงพุทโธดังกลบหมด
แล้วเสียงครูบาอาจารย์ไม่ได้ยินเลย ได้ยินแต่กระแสเสียงของท่าน
ซึ่งมันก็จะมาช่วยปรุงแต่งให้เกิดสมาธิจิตได้ง่าย

แต่ว่าถ้าหากจะเอาในความหมายของการฟังธรรมไปด้วย
แล้วก็ปฏิบัติไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย
น่าจะในรูปแบบของการที่เราหายใจ หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก แล้วก็เสร็จแล้วเรารู้ลมหายใจไปด้วย
คำของครูบาอาจารย์ก็เข้าหูไปด้วยนะครับ

แล้วก็ปรุงแต่งจิตของเราให้ว่าง สว่าง สบาย แล้วก็อยู่กับธรรมะ
มีทั้งการเห็นลมหายใจเข้าออกว่าแสดงความไม่เที่ยงอยู่
แล้วก็ได้ยิน รับรู้ว่าครูบาอาจารย์เทศน์เกี่ยวกับเรื่องอะไร

ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ที่มีจิตที่เป็นสมาธิ
ที่เป็นอุเบกขา ที่มีความกว้าง มีความใหญ่นะ
จะมาปรุงแต่ง มาช่วยให้จิตของเรามีความว่าง
มีความใหญ่ มีความสว่างตามท่านไปด้วย
ถ้าหากว่าเรารู้ลมหายใจไป แล้วมีความสว่าง มีความกว้างไป
มันก็กลายเป็นสมาธิแบบดีๆ ขึ้นมานะ

 ..................................................................

 ถาม (๒) – ถ้าเราเคยอธิษฐานต่อหน้าพระประธานในสถานที่ปฏิบัติธรรม
ว่าในระหว่างการฝึกวิปัสสนา ขอให้ไม่เห็นทุกอย่างที่ธรรมชาติปิดกั้นไว้
โดยไม่ทราบว่าการมองเห็นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม
อย่างนี้จะเป็นการปิดกั้นความก้าวหน้าในการปฏิบัติไหมคะ และจะแก้ไขอย่างไร

 ตอบ - การขอต่อหน้าพระประธานอะไรแบบนี้
มันไม่ใช่ว่าขอแล้วจะได้นะ
ต่อให้มีความมุ่งมั่น จะเอาให้ได้อย่างใจ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะได้มา
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวนะ
เอาเป็นว่าการอธิษฐานครั้งนั้นของคุณ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนะครับ
คือถ้ามีเหตุให้จิตมันจะเห็น มันก็เห็นของมัน
ถ้าไม่มีเหตุ มันก็ไม่เห็นนะ


เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสนะว่า
คนอยากขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าทำชั่ว มันก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์
คนอยากลงนรก แต่ว่าทำแต่ความดี มันก็ไม่ได้ลงนรก
มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นไปตามคำขอนะ
อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้

เพราะฉะนั้น ตรงนี้นะคือเอาแค่ว่าต่อไปเราตั้งจิตไว้
อยู่ในทิศทางที่มีสติตามจริงนะครับ ว่ามันจะเห็นอะไรก็เห็นไป
เห็นแล้วเราจะรู้ว่ามันไม่เที่ยงก็แล้วกัน

พอเห็นว่ามันไม่เที่ยงบ่อยๆ อะไรๆ ไม่เที่ยงภายในภาวะของกายใจนี้
ในที่สุดมันก็เกิดสติปัญญาแบบพุทธ รู้ว่ามันไม่ใช่เราจริงๆ ด้วย

แม้กระทั่งวินาทีนี้ เรานั่งฟังอยู่ หรือผมนั่งพูดอยู่
มันก็มีแต่อารมณ์ที่เป็นสุขเป็นทุกข์
ที่มันดึงเราไปยึดว่าภาวะอย่างนี้คือตัวคือตนของเรา
แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ตั้งแต่ตรงนี้เลย
เพียงแค่เราทำความรู้จัก ทำความรับรู้ความไม่เที่ยง
แล้วก็เห็นความไม่เที่ยงนี้ไปเรื่อยๆ
มันได้ข้อสรุปขึ้นมาเองว่าทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้นในกายใจนี้
ไม่เคยมีอะไรเป็นตัวเป็นตนเลยนะ