ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๓๙๒
ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ ฉบับที่ ๓๙๒
ธันวาคม ๒๕๖๔
ทำอย่างไรจึงจะดูแลพ่อแม่ในวัยสูงอายุได้โดยที่ตนเองไม่เป็นทุกข์
ถาม – ดิฉันต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่สูงอายุแล้ว
หลายครั้งที่ท่านดื้อและไม่ยอมรับฟัง
จนบางครั้งดิฉันก็เผลอใช้คำพูดที่รุนแรง จนตัวเองก็จิตตกมาก
เพราะรู้ว่าไม่ควรพูดออกไปอย่างนั้น ควรวางจิตอย่างไรดีคะ
ตอบ – เวลาวางจิตกับผู้ใหญ่
อย่าไปคาดหวังว่าเราจะไม่จิตตก อย่าไปคาดหวังว่าเราจะไม่โกรธ
ให้คาดหวังว่าเราได้รับแรงกระทบมาอย่างไร
จิตมันก็จะบุบสลายหรือว่าบอบช้ำตามนั้น ให้คาดหวังอย่างนี้
เสร็จแล้ว ด้วยความคาดหวังนั้นมาประกอบกับสัมมาทิฐินะครับ
คือความเห็นที่ถูกต้อง
ว่าความทุกข์ ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้นหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม
ด้วยเหตุปัจจัยอันใดก็ตาม
เมื่อเหตุปัจจัยนั้นหมดลง ในที่สุดผลลัพธ์คือความบอบช้ำ
คือความเจ็บช้ำใจนั้น ก็ต้องหายไปด้วย ตั้งมุมมองไว้อย่างนี้
ทีนี้เวลาเอาไปปฏิบัติจริง มันไม่ง่าย
อย่างเวลาโดนกระทบกระแทกด้วยสีหน้าสีตาของท่าน หรือว่าคำพูดของท่าน
รู้สึกจุก รู้สึกเหมือนถูกชก ถูกฮุกด้วยกำปั้นของนักมวยเฮฟวีเวท (Heavyweight)
แล้วเรารู้สึก โอ้โห มันบอบช้ำ ตอนที่รู้สึกทนไม่ได้นั้นน่ะ
ให้ฝึกมองว่าความเจ็บปวด ความบุบสลายของจิตตรงนั้น
มันตั้งต้นที่ลมหายใจไหน
อันนี้สำคัญนะ ถ้าเราสามารถระลึกได้จริงๆ ว่ามันตั้งต้นที่ลมหายใจนี้
แล้วเรานับต่อไปเรื่อยๆ อีกกี่ลมหายใจ
ความบุบ ความบอบช้ำนั้น มันถึงค่อยๆ คลายตัวลง
อาจจะเป็นลมหายใจที่ร้อยก็ได้นะ มันอาจจะใช้เวลาหน่อย
แต่พอยท์ (point) คือจะนานแค่ไหน ในที่สุดความบุบสลาย ความบอบช้ำนั้น
มันจะค่อยๆ กลับฟื้นกลับฟูขึ้นมา
ตรงนี้แหละที่เราจะเข้าใจว่าเมื่อเหตุดับ เมื่อต้นเหตุคือห่างตัวเราไปแล้ว
ไกลตัวเราออกไปแล้ว เสียงด่าไกลหูออกไปแล้ว
ในที่สุดผลลัพธ์คือความบอบช้ำ มันก็จะค่อยๆ กลับฟื้น
กลับกลายเป็นสลายหายไป
นี่คือธรรมชาติ นี่คือธรรมดา ตามกฎกติกาที่ว่าเมื่อเหตุดับผลย่อมดับตาม
แต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ หรืออาการจิตตกจะไม่หายไป
ถ้าหากว่าเหตุดับไปแล้ว เราสร้างเหตุใหม่ขึ้นมา
คือตรึกนึกถึงมัน ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ด้วยความรู้สึกว่าทำไมทำดีไม่ได้ดี
ทำไมกตัญญูแล้วได้ผลตอบแทนราวกับเราเป็นลูกเนรคุณขนาดนี้
ด้วยความคิด ด้วยความวิตกไป ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจไป
อันนี้มันกลายเป็นเหตุใหม่
คือเหตุที่เป็นต้นเหตุแท้ๆ มันดับไปแล้ว พ่อแม่ห่างตัวเราไปแล้ว
แต่มันมีเหตุใหม่ คือความน้อยเนื้อต่ำใจของเรา
มาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงความเจ็บช้ำน้ำใจนั้นให้ยืดเยื้อต่อไปอีก
ไปต่ออายุให้มันด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ
ไปต่ออายุให้มันด้วยความตรึกนึกถึง คิดน้อยเนื้อต่ำใจไปต่างๆ นานา
ความคิดนั้นแหละที่มันเป็นต้นเหตุใหม่ แล้วทำให้ผลลัพธ์ไม่ดับไปสักที
ต่อเมื่อเรามาพิจารณาอย่างนี้นะ
ว่าลมหายใจนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บช้ำน้ำใจ
หน้าตาความเจ็บช้ำน้ำใจนะ มันมีภาพ
เหมือนผีน้อยที่มันหงอย ที่มันอยู่ในห้องมืดคนเดียว
แล้วผีน้อยนั้น มันอยู่ไปได้กี่ลมหายใจ
มันยังมีลมหายใจของมนุษย์นับอายุมันอยู่
เราจะพบว่ายิ่งหายใจไปโดยไม่ไปนึกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
มีแต่ปัจจุบันตรงนี้ ที่เป็นลมหายใจเนี่ย
มันจะค่อยๆ ทำให้ผีน้อยตัวนั้น กลับลุกขึ้นมา
แล้วก็กลายร่างกลับเป็นมนุษย์มนา
มีเนื้อมีหนัง มีกำลังวังชากลับขึ้นมาได้อีก