Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๓๐๘

dungtrin_cover

dungtrin_gru2a

 

 

 

ทำอย่างไรการเจริญสติจึงจะมีความก้าวหน้าอย่างแท้จริง

ถาม – จากการฝึกตามรู้ตามดู ผมพบว่าตัวเองเห็นจิตทำงานตามปัจจุบัน
สามารถยอมรับได้ว่าจิตเดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว
ความคิดจะให้ค่ากับความรัก ความดี ความเกลียด ความชั่วน้อยลง
แบบนี้ควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไรให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปครับ

ตอบ - ประเด็นคำถามก็คือตรงที่กำลังทำอยู่เนี่ย
เหมือนกับมีการยอมรับความจริง ไม่สนใจว่าจะปรุงดีหรือปรุงร้ายนะ
ซึ่งตรงที่เราจะไปยอมรับตามจริงได้เนี่ย
มันฝืนกับนิสัยทางธรรมชาติของใจคนทั่วไป
ถ้าหากว่าทำได้จริงๆ ยอมรับได้จริงๆ ว่าเดี๋ยวจิตมันก็ดี เดี๋ยวจิตมันก็ร้าย
ไม่สามารถบังคับได้ ไม่สามารถบัญชาได้ตามต้องการ
แค่นี้เนี่ยถือว่าต่างจากธรรมชาตินิสัยเดิมๆ ของปุถุชนแล้วนะ

ทีนี้เรื่องที่จะให้มันมีความก้าวหน้า มีการพัฒนาต่อไป
บนเส้นทางของการเจริญสติมากขึ้นไปเรื่อยๆ เนี่ย
เราต้องนอกจากยอมรับตามจริงแล้ว
เราต้องสังเกตว่าทุกครั้งที่ยอมรับความจริงได้เป็นปกติ
เราจะรู้สึกว่ามันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แสดงความไม่เที่ยงด้วย
ถ้าไม่สังเกตที่ตรงนี้นะ มันจะติดอยู่ตรงความรู้สึกหนึ่ง
ว่าตัวเราเห็นภาวะความเป็นกุศลบ้าง ตัวเราเห็นภาวะความเป็นอกุศลบ้าง
มันจะมีตัวเราอยู่

แต่ถ้าหากเราสังเกตว่าภาวะทั้งดีทั้งชั่วนั้นน่ะ มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
พอเวลาที่เห็นมันผ่านไป ณ จุดที่เห็นมันผ่านไปเนี่ยนะ
เห็นอย่างเป็นธรรมชาตินะ ไม่ใช่แกล้งเห็น ไม่ใช่จงใจเห็นนะ
เห็นเอง เห็นว่ามันผ่านไปเนี่ย
ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราเป็นผู้เห็น เนี่ยมันจะหายไปด้วย
ลองสังเกตตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน

พูดง่ายๆ ก็คือว่าเราจะมีการเจริญสติได้ก้าวหน้าอย่างแท้จริงเนี่ยนะ
ตอนที่รู้สึกว่าอะไรๆ ที่มันปรากฏอยู่ในจิตของเราเนี่ย
ไม่ว่ามันจะดี ไม่ว่ามันจะร้ายนะ มันปรากฏเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายไป
แล้ว ณ จุดที่เราจะรู้สึกว่ามันหายไปได้จริงๆ เนี่ย
มันไม่ใช่สภาวะนั้นหายไปอย่างเดียว
แต่ความรู้สึกในตัวตนของเราหายไปด้วย

ความเป็นผู้ดู ความเป็นผู้ปฏิบัติ ความเป็นโยคาวจรนะ
ผู้ที่เพ่ง ผู้ที่เจริญสติ ตามดูตามรู้อะไรอยู่เนี่ย มันหายไปด้วย
เหลือแต่จิตที่ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวเราตัวเขา
ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่บุคคล ไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่คือใครทั้งสิ้น
ตัวนี้ขอให้สังเกตด้วยก็แล้วกัน

มันจะเริ่มมีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ นะ
ทุกครั้งที่เราสามารถยอมรับตามจริง

ไม่ได้หวังแต่จะเอาภาวะดีๆ ไว้ดู
ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์นะว่าเวลาอารมณ์ขุ่นมัว
หรือว่าอารมณ์โกรธ อารมณ์แค้นอะไรมันพลุ่งพล่านขึ้นมาเนี่ย
ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเสียหน้า
โอ ปฏิบัติมาตั้งนาน อุตส่าห์โกรธอีก ยังอุตส่าห์โกรธได้เนี่ย
เราไม่มีความรังเกียจแบบนั้น เราไม่มีการตั้งแง่แบบนั้น
ยอมรับไปเรื่อยๆได้เนี่ย
จิตมันจะมีความเป็นกลางจริงๆ จิตจะมีความเป็นอุเบกขาจริงๆ
แล้วทุกครั้งเนี่ยก็จะทำให้เราค่อยๆ เห็นการหายไปของทั้งดีทั้งชั่ว
ที่มันเกิดขึ้นจากการประกอบกับจิตเรา
นี่ขอให้สังเกตตรงนี้นะครับ