Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๘๕

หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
จะเป็นเหมือนยาบรรเทาอาการปัญหาสังคมในปัจจุบันหรือไม่อย่างไรคะ?

dungtrin_gru2ก่อนอื่นต้องเข้าใจนะว่าพระพุทธศาสนามีคำสอน ไม่จำกัดเฉพาะกาล
คำสอนของพระพุทธศาสนานี้ เป็นคำสอนที่เข้ากันได้กับมนุษย์
ทุกเพศทุกวัย ทุกชาติภาษา ทุกยุคทุกสมัยนะครับ

ถ้าหากว่าเราเข้าใจตรงนี้ ก็จะได้ตัดคำว่า
"ช่วยบรรเทาอาการมีปัญหาของสังคมในปัจจุบันได้หรือไม่?"
เราตัดคำนี้ออกไปได้เลย แต่พุ่งตรงไปที่ประเด็นคำถามที่ว่า
"จะช่วยบรรเทาอาการมีปัญหาของสังคมได้อย่างไร?"
คือตัดคำว่าปัจจุบันทิ้ง แล้วบอกว่า "ช่วยคนได้อย่างไร?" ถามสั้นๆอย่างนี้เลย

ช่วยคนได้ยังไง? ก็ต้องถามก่อนว่า คนมีปัญหาอะไรนะ? ถึงต้องใช้ยา
คนเราเหมือนป่วยกันทางจิตทุกคน ป่วยมากหรือป่วยน้อยเท่านั้นเอง
รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ถ้าหากป่วยมาก มนุษย์มีวิธีช่วยกัน โดยการจับเข้าโรงพยาบาลบ้า
หรืออาจจะเข้าสถานบำบัดอะไรสักอย่าง
อันนั้นคือป่วยทางจิตแบบมาก อย่างมากนะ แต่ถ้าป่วยน้อย คนจะไม่รู้ตัวว่าป่วย
แล้วก็ไปมองกันว่านั่นเป็นอาการปกติ คืออยู่ร่วมกับสังคมได้
ใช้ชีวิตอย่างเอาตัวรอดได้
สามารถที่จะ...อืม...บางคนช่วยเหลือสังคมได้ด้วยซ้ำ

เรามาดูนิยามกันว่า ป่วยทางจิต ป่วยยังไง?
ทางพุทธศาสนาบอกว่า คนที่สำคัญผิดว่าอะไรที่มันไม่ใช่ของเรา... แล้วสำคัญว่าเป็นของเรา
ไปสำคัญว่าสิ่งที่มันไม่เที่ยง...ว่ามันเที่ยง
ไปสำคัญว่าสิ่งที่มันตั้งอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้...
ว่ามันตั้งอยู่ได้ ว่ามันทนอยู่ได้
อันนั้นแหละป่วยทางจิตแล้ว

คือไปสำคัญผิดว่า สิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ว่าของเรา
สิ่งที่มันไม่เที่ยง อยากให้มันเที่ยง นึกว่ามันจะต้องเที่ยง
พอมันแสดงการแปรปรวนให้เห็น ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งทรมาน
นี่แหละทุกข์ทางใจที่ทุกคนเป็นกัน
ทีนี้ถ้าเป็นแบบปกติก็คือว่า อย่างเวลาญาติเสียชีวิต คนรักเสียชีวิต
หรือมีอันต้องพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
ก็มีอาการฟูมฟายโวยวายขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่ถ้าบ้าแบบมาก
ก็คือยังไม่ต้องเจออะไร ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง วิปลาสขึ้นมา

นี่คนทั่วไปจะมองกันแบบนี้ คืออยู่ๆโวยวายคลุ้มคลั่งขึ้นมา ถือว่าบ้า
แต่ถ้าอยู่กันปกติแล้วไม่โวยวาย จะโวยวายก็ต่อเมื่อมีการพรากจากไป
อันนั้นน่ะนะ ถึงจะเรียกว่าเป็นปกติ
แต่จริงๆ พุทธศาสนาถือว่า ทั้งหมดนี่บ้าหมดเลย สำคัญผิดหมด
คือ บ้าเพราะสำคัญผิด บ้าเพราะอุปาทาน บ้าเพราะเกิดความไม่เข้าใจ
บ้าเพราะยอมรับไม่ได้ว่าทั้งหลายทั้งปวงนี้มันไม่เที่ยง ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้
แล้วก็ที่มันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าไม่มีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นตัวเป็นตน
ที่เราจะไปบังคับบัญชาไม่ให้มันเปลี่ยนแปลง ไม่ให้มันแปรปรวนไป

ทีนี้ กลับมาถึงคำถามว่า คำสอนของพระพุทธศาสนา
จะเป็นยาช่วยบรรเทาอาการหรือว่าปัญหาของสังคม
หรือว่าอีกนัยหนึ่งคือ แก้ปัญหาทางใจของมนุษย์ได้อย่างไร?

พุทธศาสนาบอกเลยว่า
ก่อนอื่นให้ทำตัวให้รอดจากปัญหาที่มันจะก่อให้เกิดอาการบ้า
คลุ้มคลั่งวิปลาสหนักๆขึ้นมาซะก่อน
ปมปัญหาของมนุษย์ก็คือ พอมันมีความเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว
นึกว่าของไม่ใช่ของๆตัวเอง แต่นึกว่าเป็นของๆตัวเอง ก็ตระหนี่หวงไว้
แม้แต่มีส่วนเกินอะไรมากมาย เราก็ไม่เจือจาน
แล้วถึงต่อให้มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของตัวเองแล้ว
ก็รู้สึกว่ามันจะแตกสลายหายไปไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็คือ วันหนึ่งมันจะต้องหายไป
ถ้าเรารู้จักให้ทาน รู้จักที่จะเสียสละ
มันก็จะมีใจที่จะรู้จักที่จะปล่อยวางในระดับเบื้องต้นแล้ว

อย่างถ้าใครเคยบริจาคหนึ่งพันบาท เวลาเงินหายหนึ่งพันบาท ก็จะทำใจได้
มันจะรู้วิธีจัดการกับจิตใจของตัวเอง ว่าจะคิดให้มันปล่อยวาง
คิดให้มันสละได้อย่างไร
แต่คนที่ไม่เคยบริจาคแม้แต่พันเดียว เรียกว่าโอ้โห!
เรียกว่านอนไม่หลับไปเจ็ดวันเจ็ดคืน คลุ้มคลั่ง แทบจะไปพลิกแผ่นดินหา
ไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ ไปทำให้เกิดเรื่องเกิดราวอะไรขึ้นมาได้มากมาย
นี่เป็นตัวอย่างนะ อันนี้เป็นยาขั้นต้น

ยาเม็ดแรกนี้ก็คือ ได้ชื่อว่า การรู้จักให้ทาน ยาเม็ดที่สองก็คือการรักษาศีล
อย่างของๆเรา ถ้ามีสิทธิอันชอบธรรมของเรา ถ้าหากว่าเราเก็บไว้ เราก็รู้สึกหวง
มันสามารถเข้าใจได้ว่าคนอื่นก็ต้องรู้สึกหวงเหมือนกัน
แต่ทีนี้ถ้าหากว่ามันมีความไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ว่าของทั้งหลายไม่ใช่ของๆเรา
มันก็นึกว่าอะไรที่ ทั้งๆที่มันเป็นของๆคนอื่น ถ้าคนเราไม่มีศีล
มันก็สำคัญไปว่ามันเป็นของๆ เราได้
คืออยากจะไปเอาของๆเค้ามา รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นของๆเรา
ทั้งๆที่มันเป็นของๆคนอื่น
ไอ้ตัวนี้ถ้าหากว่าไม่มีศีล ก็จะทำให้เกิดความหลงผิดเข้าใจผิดมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งว่า เออ..ขโมยแล้วไม่รู้สึกอะไร
ไม่รู้สึกสำนึก แต่รู้สึกธรรมดา ว่า...เออ...ของมันขโมยกันได้
นี่ขั้นต้นแค่ที่ว่ามันไม่ใช่ของๆเรา พอทำใจไม่ได้แล้วมันสามารถที่จะลุกลาม
เกิดอุปาทานไปได้ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สิ่งที่เป็นสิทธิของคนอื่น
เป็นสิทธิครอบครองของคนอื่น เราก็จะไปเอามาเป็นของๆเรา
นี่เป็นตัวอย่างที่ว่าถ้าไม่มีศีล ถ้าไม่ตั้งใจงดเว้น
มันก็จะเกิดความเข้าใจผิดขั้นรุนแรงขึ้น

ต่อมายาเม็ดขั้นที่สามก็คือ การภาวนา
ต้องตั้งต้นด้วยความเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า
แม้มันจะเป็นของๆเราจริงๆ ก็สละให้คนอื่นได้
แล้วของๆคนอื่น ถ้าเขาไม่ให้ เราก็อย่าไปเอาของเค้ามา อันนี้เป็นเรื่องของศีล
ในเรื่องของการภาวนานี้ เป็นการทำให้มีความเข้าใจต่อยอดลึกซึ้งไปกว่านั้น
นั่นก็คือมีความเห็น มีการพิจารณา ว่าทั้งหลายทั้งปวง
แม้แต่ แก้วตาเรา แก้วหูเรา จมูกนี้ ปากนี้ ลิ้นนี้ ผิวหนัง ร่างกายนี้
ทั่วทั้งตัว แม้กระทั่งจิตวิญญาณ ที่มันครองร่างนี้อยู่ ทั้งหลายทั้งปวงมันก็ไม่เที่ยง
เหมือนกับของๆเรา ที่วันหนึ่งมันจะต้องแตกดับไป
เหมือนกับคนรัก ที่วันหนึ่งต้องพรากจากกัน
แล้วตัวเราแม้แต่ตัวเราเอง ร่างกาย ตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า
ไปยังกระทั่งจิตวิญญาณที่มันครองกายอยู่นี่ ก็จะต้องแตกสลายไปเหมือนกัน
แล้วมันไม่ใช่แค่ความเข้าใจชั่วครู่ แต่พระพุทธเจ้าให้เจริญสติตามเห็นเลย
ตามเห็นเป็นขณะๆว่าไม่มีอะไร ตั้งแต่ปลายผมถึงปลายเท้า
และสภาพการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด สุขทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่นี่
มันไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่เที่ยง

ถ้าหากว่าใครไปถึง คือได้กินยาทั้งสามเม็ดนี้ครบถ้วน
ไม่ว่าจะเกิดยุคไหนสมัยไหน ไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด
ก็จะหายป่วย หายป่วยทางใจ
แล้วก็ผลที่ออกมาเป็นขั้นสุดท้ายจริงๆเลยก็คือว่าจะไม่เป็นทุกข์ทางใจอีก
อันนี้แหละคือสิ่งที่ทุกคนทุกยุคทุกสมัยมีทุกข์ทางใจกันเสมอ

พุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาดด้วย
แบบชนิดไม่กลับไม่เปลี่ยนอีก
เพราะว่ารากของปัญหามันจบไปแล้ว ความเข้าใจผิดน่ะ
ความเข้าใจผิดที่ทำให้เกิดการอยากประการต่างๆ
การอยากที่ทำให้เกิดความกระวนกระวายไปต่างๆมันหมดไปจากใจ
เพราะฉะนั้นทุกข์ทางใจก็หายไป
สรุปก็คืออาการป่วยทางใจมันหายไปอย่างเด็ดขาด