Print

ดังตฤณวิสัชชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๗๘

dungtrin_cover

 dungtrin_gru2a

 

 

 

ทำไมบางคนจึงมีลักษณะน่าเกรงขามเป็นพิเศษ

 

ถาม – มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งพิเศษอะไรในบริษัท
แต่กลับเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก แม้แต่หัวหน้ายังไม่กล้าทำอะไร
จึงสงสัยว่าทำไมบางคนสามารถทำให้คนอื่นกลัวได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่มีอำนาจคะ
แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่รู้สึกถูกคุกคามจากคนลักษณะนี้

ตอบ - อันนี้เขาเรียกว่าตบะบารมี
คนมีตบะบารมีเนี่ยนะ บางทีเขาแค่ปรากฏตัวให้เห็นเนี่ย เราก็รู้สึกกลัวได้
พวกนี้จะมีส่วนผสมของอะไรหลายๆ อย่าง
หนึ่ง ประการแรกเลยที่เราต้องพูดถึงนะ ก็คือของเก่า ทุนเก่า
เด็กบางคนเนี่ยแค่อยู่ ป.๑ ป.๒ หรือว่าเอาสักประมาณ ป.๕ ป.๖ อะไรมันจะชัดเจนขึ้น
มันมีความน่าเกรงขามสำหรับเพื่อนๆ
ลองนึกดู ทุกคนจะต้องเจอนะ ตอนสมัยเด็กๆ เนี่ย
ยังไม่ได้สร้างบารมีอะไรในชาตินี้กันเท่าไหร่
แต่ดูมีความเป็นนักเลง ดูมีความเหมือนกับว่าเพื่อนเนี่ยจะมีความรู้สึกเกรงกลัว
หรือว่าให้ความเกรงใจเป็นพิเศษ เหมือนพี่ใหญ่ของห้อง
ทั้งๆ ที่ก็อยู่ในวัยเดียวกัน โตมาด้วยกัน โตมาพร้อมๆ กัน อายุเท่าๆ กัน

อันนั้นถ้าอธิบายตามคำพูดแบบเอาปัจจุบัน
ก็เหมือนกับว่าคนคนนั้นเนี่ย เด็กคนนั้นเนี่ย
มีลักษณะบางอย่างที่เหนือกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป
ซึ่งก็มักจะไปลงว่าจัดสรรด้วยความบังเอิญ
บังเอิญว่าเกิดมาแบบนั้นน่ะ หน้าตาแบบนั้นน่ะ
บางทีนะไม่ได้หล่อเหลา ไม่ได้สูงใหญ่อะไรนะ บางคนผอมๆ ด้วยซ้ำ
แต่มีรังสีอำมหิตออกมาในแบบที่เพื่อนๆ เนี่ยรู้สึกถูกคุกคามได้
เห็นจ้องตานะ ทำตาขวางหน่อยเนี่ย เพื่อนๆ เกิดความรู้สึก
คล้ายๆ ว่าที่ภาษาเด็กๆ เขาชอบเรียกกันว่าขี้หดตดหาย อะไรแบบนั้นน่ะ
มันเกิดความรู้สึกเหมือนกับจะโดนทำร้ายด้วยสายตา
ได้ตั้งแต่โดนจ้องด้วยความโกรธแล้ว

พวกนี้ถ้าพูดถึงเรื่องของตบะเก่าหรือว่าบารมีเดิมเนี่ยนะ
จะเป็นพวกที่คิดแรง พูดแรง ทำแรง
คือคิดอะไรจริง ทำอะไรจริง พูดอะไรจริง พูดอะไรแล้วทำตามที่พูด
แล้วก็จะเป็นพวกที่พูดง่ายๆ ว่าใจเนี่ยเอาจริง
แล้วก็มุ่งไปทางทิศไหนแล้วแรง ไม่ได้วอกแวกง่ายเหมือนคนทั่วไป
พวกนี้เลยดูมีตบะ มีอำนาจในตัว มีความน่ากลัว
เพราะว่ากระแสของใจเนี่ยเวลามันพุ่งไปใส่ใครแล้ว
มันพุ่งเป็นลำตรง มันมีแรงกระแทกมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ถามว่าทำอย่างไรถึงจะไม่กลัวคนพวกนี้
ก็คือเราแผ่เมตตาเฉยๆ เนี่ย
บางทีนะถ้าใจเราแผ่เมตตาด้วยกำลังอ่อนๆ เนี่ย มันก็สู้ไม่ไหวหรอก
แต่ถ้าเราเมตตาจริงๆ คือตั้งใจว่าจะไม่เบียดเบียนใคร
แล้วก็มีความคิดอยากช่วยเหลือคนอื่น แล้วทำจริง เอาจริง คือไม่มีการลังเล

แต่ละครั้งเนี่ย ถ้าหากว่าเราจะคิดช่วยใคร เราคิดช่วยจริง ไม่หวังผลตอบแทน
อยากอภัยให้ใคร อภัยจริงๆ
คือไม่ได้มาคิดติดค้างอะไร ไม่ได้มากลับลำนะ
วันหนึ่งโกรธ วันหนึ่งอยากอภัย เดี๋ยวกลับไปกลับมาเรื่อยๆ เนี่ย
อย่างนี้จิตมันจะไม่พุ่งเป็นลำ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
แต่ถ้าอภัยแล้วอภัยจริงๆ ไม่ย้อนกลับไปคิดอีก
หรือถ้าคิดนะเราก็จำสัญญาที่ให้กับตัวเองได้ ว่าเราจะอภัยไม่คิดเอาความ

อย่างนี้ในที่สุด จิตมันก็ออกมาเป็นเมตตาจริง ไม่เบียดเบียนใครจริง
เพราะฉะนั้นเวลาแผ่เมตตาให้ใคร มันก็จะมีกระแสของเมตตาออกมาจริงๆ
ไม่ใช่ออกมาเล่นๆ ไม่ใช่ซัดส่าย มันก็จะข่มความกลัวเสียได้

คือข่มความกลัวในใจเรานะ ไม่ใช่ไปข่มให้เขาเกิดความคร้ามเกรงนะ
คือตัวเขาเนี่ยก็จะมีความรู้สึกว่า เออ ตัวเราเนี่ยไม่น่าเข้ามาเบียดเบียน ไม่น่าเข้ามายุ่งด้วย
จะมีความเมตตาให้เป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ

ลักษณะของคนที่มีตบะบารมีน่ากลัวเนี่ย
โดยมากจะเป็นพวกนักรบนะ เคยเป็นนักรบมาก่อน
เป็นพวกนักรบที่อาจจะเคยคิดมุ่งมั่นเสียสละเพื่อชาติมาจริงๆ
เป็นหัวหมู่ เป็นนายกอง เป็นแม่ทัพอะไรแบบนั้นเนี่ย
พวกนี้จะมีจิตใจที่เข้มแข็งแล้วก็ห้าวหาญ แล้วมันติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้
เพราะว่าความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเนี่ย มันเป็นสิ่งที่สืบนิสัยได้
เป็นกรรมเก่าที่บันดาลให้เกิดผล
มาเกิดในฤกษ์เกิดแบบที่ดวงเนี่ยมีความเข้มแข็ง
หรือว่าจิตมีความเข้มแข็ง มีพลังใหญ่
ก็อันนั้นเป็นเรื่องของของเก่า
ส่วนเรื่องของของใหม่ เราจะไม่กลัวใครได้ก็คือมีเมตตาที่ชัดเจนนั่นเอง
ตั้งใจไม่เบียดเบียนแล้วเนี่ย ก็ไม่เบียดเบียนกันจริงๆ