Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๗๗

dungtrin_cover

 dungtrin_gru2a

 

 

เมื่อคิดในสิ่งที่เป็นอกุศล ควรตามรู้ตามดูอย่างไร

ถาม – ในการยอมรับตามจริงของความคิด
ถ้าหากเรากำลังคิดในสิ่งที่เป็นอกุศล เป็นบาปทางใจ
เราควรจะตามรู้ตามดูไปโดยไม่ต้องห้ามความคิดร้ายๆ นั้นใช่หรือไม่คะ

 

ตอบ – เอาอย่างนี้ คิดอย่างนี้ง่ายๆ นะ
ถ้าหากว่าเราไปพยายามที่จะห้ามมัน
ห้ามไม่ให้ความคิดเนี่ยมันมีความก้าวร้าว
มีความหยาบคาย มีความดุดันอะไรต่างๆ
แล้วเสร็จแล้วมันไม่หยุดล่ะ
ถ้าหากว่ามันไม่หยุดแล้วเราอึดอัด
ก็เท่ากับว่าความคิดที่มันแย่ๆ อยู่แล้ว เพิ่มความคิดอึดอัดเข้าไปอีก
มันก็คูณความมืดหรือว่าคูณบาปอกุศลอะไรเข้าไปสองเท่า
คือความอึดอัดเนี่ย ขอให้จำไว้เลยนะ
ความอึดอัด ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์เนี่ย
มันจะไปขยายวิธีคิด
มันจะไปเปิดช่องให้ความคิดร้ายๆ เนี่ย มันกรูกันเข้ามามากขึ้น
แทนที่มันจะมาขบวนเดียว มันมาหลายขบวนเลย
แทนที่มันจะมาแค่นาทีสองนาที มันมาเป็นสิบยี่สิบนาที หรือมาเป็นชั่วโมง

นี่คือธรรมชาติของจิต
ถ้าจิตมีความทุกข์ มีแนวโน้มที่จะดิ่งลงเหวเนี่ยนะ
มันจะลากจูงความคิด หรือว่าอะไรที่เป็นประสบการณ์ร้ายๆ ของเราเนี่ย
กลับมาแบบไหลมาเทมาเลย ต่อเนื่องเลยนะ
แต่ถ้าหากว่าเราไม่แคร์มัน เราไม่มีความทุกข์กับมัน
ถึงแม้ว่าความคิดแย่ๆ จะยังคงอยู่ในหัว
แต่มันลงไปไม่ถึงหัวใจ มันอยู่แค่ที่หัวสมอง
มันอยู่แค่ที่คลื่นความคิดที่มันผลิตขึ้นมาโดยที่เราไม่อาจห้าม
แต่มันไม่ไหลลงไปที่หัวใจ

สังเกตจากตรงไหน สังเกตจากความรู้สึกที่ยังสบายอกอยู่ เหมือนยังโล่งๆ อยู่
เคยได้ยินใช่ไหมที่เขาว่า โล่งหัวอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก อะไรแบบนั้นน่ะ
มันก็คือการที่พิษของความคิดร้ายๆ เนี่ยมันลงไม่ถึงหัวใจ
มันแค่เข้ามาเป็นหมอกพิษ แค่มาเป็นโพลูชั่น (
pollution) ปกคลุมสมองเราชั่วคราว
ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ได้ไปจริงจังกับมัน
เราแค่ดูมันเฉยๆ ยอมรับตามจริงไปเฉยๆ ว่าตอนนี้มันเกิดขึ้น
วัดได้เลยในหัวอกเนี่ย มันจะไม่รู้สึกว่าหนัก
มันจะไม่รู้สึกว่ามีอาการบีบเค้นนะ

ถ้าหากว่าเรารู้สึกทรมานใจ ราวกับมีใครเอามือนะไปบีบหัวใจ ไปเค้นหัวใจเราเนี่ย
เนี่ยตรงนี้แหละเรียกว่าพิษของความคิดที่มันร้ายๆ
มันซึมเข้าสู่หัวใจแล้ว มันถึงหัวใจแล้ว

แต่ถ้าหากว่าเรารู้หลักการเจริญสติ
สติหมายความว่าอย่างไร
ยอมรับความจริงเฉพาะหน้า ที่มันกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ไม่ใช่ไปปฏิเสธมัน แล้วก็ไม่ใช่ไปส่งเสริมมัน
แค่ดูมันเฉยๆ รู้มันเฉยๆ

ความรู้สึกว่ามันเป็นโพลูชั่น (
pollution) มันเป็นหมอกพิษที่ห่อหุ้มสมองเราอยู่เนี่ย
มันก็จะสามารถแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็นได้มากบ้างน้อยบ้าง

คือบางทีมันอาจจะอยู่เป็นชั่วโมงก็จริงนะ
แต่ในชั่วโมงนั้นน่ะ สังเกตดูเถอะ สังเกตดูดีๆ
พอห้านาทีผ่านไป มันจะเริ่มเบาบางลง ซาตัวลง
แล้วนาทีที่สิบมันอาจจะคุกรุ่นขึ้นมาใหม่
มันอาจจะเหมือนกับมีความเป็นเมฆหมอกหนาทึบขึ้นมาใหม่
แต่หัวใจของเรานะ ความรู้สึกในกลางอกของเราก็ยังเบาอยู่ดี
มันไม่ได้หนัก มันไม่ได้ปั่นป่วน
เพราะเรามีแต่ความรู้สึกยอมรับตามจริง
ไม่ใช่ความรู้สึกอยากต่อต้าน ไม่ใช่ความรู้สึกที่อยากเข้าผสมโรงด้วย
ขอให้สังเกตดูอย่างนี้แล้วจะสบายใจ


จำไว้ถ้าในอก กลางอกของเรายังไม่หนักอึ้ง
ยังไม่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบเค้นนะ ตอนนั้นเนี่ยบาปยังไม่เข้าถึงใจหรอก
ถ้ามันจะวิ่งวนอยู่ในหัวนะ
ในสมองมันจะผลิตคลื่นไฟฟ้าอะไรแย่ๆ ขึ้นมาอย่างไรก็แล้วแต่
แต่ใจของเรายังนิ่ง ยังสบาย แล้วก็รู้หลักของการยอมรับตามจริง
ว่ามันเกิดขึ้น แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ แปรระดับไป
เดี๋ยวดีกรีมันเพิ่ม เดี๋ยวดีกรีมันลด
นี่แหละเอาแค่นี้ แล้วเราจะเห็นว่าใจเนี่ยนะ ไม่เปื้อนบาปหน้าตาเป็นอย่างไร
หน้าตาคือมีความโล่ง มีความสบาย