Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๖๕

dungtrin_cover

 dungtrin_gru2a

 

 

 

เมื่อต้องไปทำบุญในสถานที่ที่ขาดความสงบ ควรทำอย่างไร

 

ถาม – เวลาที่ไปร่วมงานบุญใหญ่ซึ่งมีผู้มาทำบุญเป็นจำนวนมาก
บางครั้งมีการเบียดเสียดกันและส่งเสียงดัง จนทำให้จิตไม่เป็นกุศล
แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ

ตอบ - บรรยากาศการทำบุญเนี่ยนะ ถ้าพูดไปแล้วก็ต่างจิตต่างใจนะ
บางคนเหมือนกับถ้าหากว่าไม่มีความคึกคัก
ก็ไม่มีความสนุก ไม่มีความร่าเริงในงานบุญ อย่างนี้ก็มีนะ
คือรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าไปในที่คนน้อยๆ เนี่ย
แสดงว่าไม่ค่อยมีศรัทธา ไม่ค่อยน่าศรัทธา
ก็ต่างจิตต่างใจกันไปนะครับ
คือถ้ามองว่าเราอยากจะได้บรรยากาศของการทำบุญที่มีความสงบเงียบ
แล้วก็ยังจิตให้เป็นกุศลเนี่ย
ก็ควรจะหาที่ที่ถูกกับจริตก็แล้วกัน ว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน
อย่างบางแห่งเนี่ยนะ ถึงแม้ว่าจะคึกคัก
แต่ก็มีความสงบ มีความเรียบร้อยพอสมควร
ก็จะทำให้บรรยากาศการทำบุญเนี่ย มันเป็นไปด้วยกุศล
แต่ส่วนใหญ่นะ ก็ต้องทำใจนิดหนึ่งว่า
ถ้าเป็นสถานที่ที่มีคนร่วมกันเคารพศรัทธามากๆ เนี่ย
มักจะไม่ค่อยสงบเท่าไหร่

ผมเองก็หาอยู่เหมือนกันนะ
ถ้าเวลาจะทำสังฆทาน ตระเวนไปตามที่ต่างๆ เนี่ย
ก็มักจะยอมลงทุนขับไปไกลๆ เลยนะ
ขับไปไกลๆ ในแบบที่ว่าเจอวัดอยู่ลิบๆ อยู่ในทุ่งนาอะไรแบบนั้นนะ
จะต้องดั้นด้นจะต้องลัดเลาะเข้าทางพิเศษกัน อะไรแบบนั้น
เพื่อที่จะได้ไปพบกับความสัปปายะ
หรือว่าจะชอบเป็นพิเศษ ถ้าวัดไหนมีคลอง อะไรแบบนั้น
เพราะว่าหลังจากทำสังฆทานเสร็จ ก็จะได้ไปนั่งเล่น
คือคิดถึงความสงบ คิดถึงวัด อยากจะพบกับความสงบ

แต่ในความเป็นจริงก็คือวัดแบบนั้นถ้าจะมีอยู่เนี่ย
ก็อาจจะต้องลงทุนเดินทางนิดหนึ่ง
แล้วก็ถึงแม้ว่าจะไปพบแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีอยู่จริงนะครับ
ก็อาจจะไม่ได้สงบทุกวัน
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นวัดขึ้นมา ต้องเข้าใจว่าคนเนี่ยช่วยกันสร้าง
เป็นศรัทธาของชาวบ้านร่วมกันสร้างในท้องถิ่นนั้น
จะไม่ค่อยมีการสร้างวัดกันขึ้นมาได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจจากคนต่างถิ่นนะ
ส่วนใหญ่จะเป็นคนถิ่นนั้น
และถ้าหากว่าเป็นศูนย์รวมของคนในย่านนั้นเนี่ย
ส่วนใหญ่ก็จะมีการมาประชุม ชุมนุม หรือว่าทำบุญกันให้สมกับที่เคยร่วมกันสร้างมา
โอกาสที่เราจะเข้าสู่วัดแล้วก็มีความสงบเรียบร้อย มีความสัปปายะเนี่ย
มันค่อนข้างต่ำ ต้องทำใจไปนิดหนึ่ง

การที่เราจะทำใจให้เป็นกุศลได้เนี่ย อาจจะคือมีการสำรวมจิตของตนเอง
ไม่ว่าจะก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่วัด หรือขณะที่อยู่ในวัดนะครับ
อาจจะเดินจงกรมด้วยการรู้เท้ากระทบไป
หรือว่าอาจจะไปหลบมุมนั่งสมาธิ

คือพอเราทำบุญแล้วเนี่ย
จิตตอนให้ จิตตอนที่ถวายของ มันปรุงแต่งให้ใจสว่างได้อยู่แล้วแหละ
แล้วก็เอาความสว่างของใจแบบนั้นเนี่ยนะมาสำรวมจิต
อาจจะสวดมนต์หรือว่าจะนั่งสมาธิ
หรือว่าจะระหว่างเดินเข้าเดินออกจากวัด รู้เท้ากระทบไปด้วยความมีสติ
เห็นว่าการรู้อย่างนี้เนี่ยทำให้จิตของเราเนี่ย มีความตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว
แล้วก็เห็นส่ำเสียงที่เข้ามากระทบหูนะครับ
เป็นเพียงสิ่งกระทบให้เกิดปฏิกิริยาทางในทางไม่ดีในทางลบ
แล้วก็เห็นปฏิกิริยาทางใจนั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวที่เกิดขึ้น
มีความขัดอกขัดใจ มีความขัดเคือง
คือยอมรับตามจริงว่ามีความขัดเคือง ไม่ใช่ไปพยายามหลอกตัวเอง
ไม่ใช่พยายามที่จะทำใจให้สว่าง มีความเป็นกุศลอยู่ตลอดเวลานะ

เพราะว่าสิ่งที่เป็นกุศลสูงสุดจริงๆ หรือว่าเป็นกุศลเหนือกุศล
คือสภาวะที่เป็นบุญเหนือบุญเนี่ย
ก็คือการได้เห็นการได้รู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา
จะเป็นปฏิกิริยาทางใจ หรือว่าการกระทบกระทั่งใดๆ ทั้งหลายเนี่ย
เป็นเพียงสภาวะหนึ่งชั่วคราวนะครับ ประกอบประชุมกันประเดี๋ยวประด๋าว
ด้วยการที่มีเสียงมากระทบหู แล้วเกิดความขัดเคือง
เห็นตามจริงว่ามันเกิดขึ้น เห็นตามจริงว่ามันค่อยๆ เสื่อมลง
อันนี้แหละที่เป็นบุญใหญ่สูงสุด

ถ้าเข้าวัดด้วยอาการที่ใจเราตั้งอยู่กับการว่าจะทำบุญ
อันนั้นเป็นเบื้องต้น อันนั้นเป็นความสว่างเบื้องต้น
แล้วถ้าหากว่าตั้งใจซ้อนเข้าไปอีกนะ
มีความขัดเคืองอะไร เราจะรู้ตามจริง
รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาวะถูกกระทบกระทั่งอย่างหนึ่งนะ
เกิดปฏิกิริยาทางใจแบบหนึ่งชนิดหนึ่ง
แล้วปฏิกิริยานั้น เมื่อถูกรู้มันก็ค่อยๆ เสื่อมลงให้ดูต่อหน้าต่อตา

นี่ตั้งใจไว้แบบนี้ เท่ากับว่าไปวัด
ไม่ว่าจะเป็นวัดที่สงบหรือว่าเป็นวัดที่มีความวุ่นวายอึกทึกนะ
ได้บุญลูกเดียวนะครับ