ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๘๒
ถาม: เป็นชาวพุทธอย่างไร จึงได้ชื่อว่ามีปัญญานำ ?
การมีปัญญานำก็คือมีเหตุมีผลนั่นเอง
คือรู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่เป็นประโยชน์ รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโทษ
อย่างเนี้ยที่เรียกว่ามีปัญญานำ
แต่ถ้าคนไม่มีเหตุผลนะ ก็คือ
ใครบอกว่าอะไรเป็นยังไงจะไม่สืบสาวจะไม่สนใจว่าเหตุผลที่มาที่ไปมันเป็นยังไง
ก็เชื่อตามอย่างนั้นน่ะที่เรียกว่างมงายและไม่มีปัญญานำ
ถาม: ถ้าเราเป็นชาวพุทธที่แท้
เราควรตั้งเป้าการปฏิบัติเพื่อเป็นพระโสดาบัน หรืออย่างไรคะ?
ตอนแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
ปฏิบัติธรรมไปแล้ว บั้นปลายก็คือได้เป็นพระอรหันต์
แต่ก่อนเป็นพระอรหันต์ มีลำดับขั้นมา เริ่มต้นด้วยโสดาบัน
ตามมาด้วยสกิทาคามี ตามมาด้วยอนาคามี
อันนี้เป็นส่วนของการทำความเข้าใจ
แต่ในส่วนของการปฏิบัติจริงที่ควรตั้งเป้า
ไม่ควรตั้งเป้าที่การได้เป็นอริยะขั้นนั้นขั้นนี้
แต่ตั้งเป้าเพราะว่าใจเราจะมีความสงบสบายลง ลดความอยากลง ลดกิเลสลง
อันนี้ต่างหากที่ควรตั้งเป้า และการตั้งเป้า มันจะเป็นได้จริง
ทำได้จริงตั้งแต่วันนี้เลย ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น
ถาม : เข้าใจว่าตอนนี้ คนส่วนใหญ่ ถ้าตายไปจะไปไม่ค่อยดี
เนื่องจากสังคมยุคปัจจุบันมีแนวโน้มบีบให้จิตมีอกุศลมาก
ไม่ทราบมีส่วนถูกต้องอย่างไรคะ?
ก็จริง แต่มันไม่ใช่จริงเฉพาะสมัยนี้ สมัยไหน ๆ ก็เหมือนกันหมดน่ะ
โลกมนุษย์เนี่ยมันไม่ค่อยมีอะไรดี ๆ กระตุ้นให้มีความรู้สึกที่เป็นกุศล
แต่ว่ามันจะบีบคั้น หรือกระทบกระแทกให้เกิดความรู้สึกโลภ โกรธ หลง
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะแก้ เราต้องแก้ที่ความเข้าใจ
ตั้งต้นกันด้วยการฟังหลักการที่ถูกต้อง
ว่าทำไมมันถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ ตายไปแล้วจะไปไหนได้บ้าง
แล้วก็ไอ้ที่ยังอยู่เนี่ยทำยังไงถึงจะเกิดผลดีที่สุดเท่าที่มันจะคุ้มกับการมีชีวิตนึง
ถาม: ในวงการพระพุทธศาสนา
การภาวนาหรือเรียกอีกอย่างว่าการดูจิตนั้นสำคัญไฉนคะ?
ทำไมจึงเน้นให้ดูจิต?
การดูจิตเป็นคำเฉพาะของครูบาอาจารย์ชั้นหลังนะ
แต่จริง ๆ แล้วเนี่ย พูดถึงพฤตินัยของสติปัฏฐานสี่เนี่ย
มันก็คือการดูเข้ามาในกายของตัว
ดูเข้ามาในความรู้สึกสุขทุกข์ของตัว
ดูเข้ามาที่ภาวะของจิตของตัว
และก็ดูสภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวงทั้งภายนอกภายใน...
ว่ามันไม่เที่ยง ไม่ทน นะ แล้วก็ไม่ใช่ตัวตน
แต่ทีนี้ถ้าหากเอามาพูดกันยืดเยื้อ ยืดยาวเนี้ยบางทีมันไม่เข้าใจ
ง่าย ๆ ก็ ครูบาอาจารย์ท่านก็ย่นย่อลงมาเหลือสั้น ๆ แค่ การดูจิต
เพราะว่าถ้าดูจิตได้อย่างเดียวเนี่ย มันครอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว
แม้แต่การดูสภาพทางกายสภาพทางสุขทุกข์อะไรต่าง ๆ ทั้งหลายเนี่ย
ประชุมแล้วมันก็ลงมาอยู่ที่จิตนั่นแหล่ะ
ถ้าจิตมีสติ ถ้าจิตมีความเป็นกุศลไม่มีความเป็นอกุศล
ตรงนั้นเนี่ยมันก็เป็นอะไรที่ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว
ในการปฏิบัติธรรมแบบสติปัฏฐานสี่
ถาม: คุณดังตฤณช่วยกรุณาแนะวิธีดำเนินจิตหรือประคองจิตในสังคมยุคปัจจุบัน
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ริเริ่มภาวนา?
ก็ใช้หลักของ ทาน ศีล และก็ภาวนานั่นแหละ
ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งสติดูก่อนว่า ตอนเนี้ย เรามีความตระหนี่มั้ย?
ถ้าจิตมีความตระหนี่เราก็ดูว่า เออ... ถ้าให้ไปแล้วเนี่ยมันเป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์?
มันเป็นความโล่งหรือเป็นความทุกข์หนัก?
ถ้าเห็นว่า การให้มันมีความปลอดโปร่ง มันมีสภาพที่ดี
เราก็ให้ตัดสินว่า การให้นั้นน่ะเป็นคุณ
เป็นคุณทั้งกับคนที่รับ คือเค้าได้ของไปใช้ และก็ในแง่ของเราคือ ใจเราเบาลง
หรือแม้แต่เรามีเรื่องกับใคร ถ้าเราให้อภัยเป็นทาน
ตัวผู้ได้รับการอภัยเค้าก็เกิดความรู้สึกโล่งอกสบายใจว่าพ้นจากเวรกัน
และส่วนของเรา เราก็รู้สึกว่า
เออ... มันมีความสว่างขึ้น มีความรู้สึกเป็นเมตตามากขึ้น
มีความรู้สึกนุ่มนวลมากขึ้น
ถ้าเห็นแบบเนี้ยได้เราก็ตัดสินได้ว่า จิตที่เป็นทานเนี่ย เป็นของดี
ต่อมา ดูในกรอบของศีล
คือถ้าหากว่า เราจะทำอะไรตามกิเลสแล้ว
อย่างยุงกัดปุ๊บ ตบยุงทันที ดูซิว่ามีความเหี้ยมเกรียมอยู่มั้ย?
รึว่า ถ้าอยากได้ของใคร
อยากจะได้เงินในส่วนที่เรานึกว่าอยู่ในความดูแลของเรามาเนี่ย
แล้วเราทำทันที เรารู้สึกยังไง? เลวร้าย หรือว่ามันดีงาม?
เนี่ยศีลข้ออื่น ๆ ต่อไปเนี่ยดูเป็นข้อ ๆ ไป นะ
ว่าแต่ละข้อเนี่ย ทำแล้วจิตเป็นยังไง ถ้าทำแล้วจิตเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าทำแล้วจิตมันดีเราก็ทำไป ถ้าทำแล้วจิตมันแย่หรือว่าเสียหายก็อย่าไปทำ
ต่อมาเนี่ย ดูได้อีกในขั้นลึกซึ้งที่มันเป็นเรื่องของสติปัญญาจริง ๆ
นั่นก็คือว่า ดูเข้าเลยไปตรง ๆ
ว่าขณะจิตหนึ่ง ๆ เนี่ย เกิดความอยากหรือเกิดความสงบจากความอยาก
ถ้าหากอยากมาก ๆ อาจจะรู้สึกเหมือนจิตมันพุ่ง ๆ ออกไป
มันทะยานออกไป มันยืดออกไปจับกับวัตถุที่ล่อตาล่อใจ
แต่ถ้าหากว่ามันมีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญา มีความสว่าง
มีความสะอาดอยู่เนี่ย มันจะรู้สึกนิ่ง ๆ เฉย ๆ วางเฉย
เป็นการวางเฉยในแบบที่เปี่ยมสุข มันสุขที่ไม่ต้องอยาก
ไม่ต้องดิ้นรน มันมีความสงบ ไม่กระวนกระวาย
เนี่ยถ้าหากเราเห็นตามหลักของทาน ศีล ภาวนา
เค้าเรียกว่าเป็นการดูจิตได้แล้ว
คือพูดง่าย ๆ ว่าดูจิตไปในขณะที่ทำทาน รักษาศีล
แล้วก็ภาวนาที่คิดว่าเป็นการภาวนา