Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๔๘

dungtrin_cover

 dungtrin_gru2a

 

 

จะปลูกฝังให้เด็กอายุหนึ่งขวบคุ้นเคยกับธรรมะได้อย่างไร

 

ถาม – เราจะมีวิธีการปลูกฝังให้เด็กอายุหนึ่งขวบคุ้นเคยกับธรรมะได้อย่างไรคะ

ตอบ - สำหรับเด็กเนี่ยนะ เท่าที่สังเกตมานะครับ
จริงๆ ก็ไม่ว่าจะเด็กชาติไหนภาษาไหนนะ
จะมีการรับรู้ทางหูทางเสียงได้มากกว่าทางอื่นๆ
อันนี้เท่าที่สังเกตเอานะ
ไม่ทราบว่าจะไปขัดแย้งกับงานวิจัยที่ไหนหรือเปล่า
อย่างเอาง่ายๆ ตอนอยู่ในท้องเนี่ย
เขาบอกเลยนะว่า ให้พูดกับลูกให้คุยกับลูก
ตั้งแต่หกเจ็ดเดือนที่ประสาทหูเขาพัฒนาแล้วเนี่ยนะ
มีการวิจัยออกมาบอกว่า ถ้าหากให้ฟังเสียงเพลงคลาสสิกบ่อยๆ เลยนะ
คือถ้ายิ่งทุกคืนหรือว่าทุกเช้าได้เนี่ย
มีวิจัยบอกว่าเด็กคลอดออกมาแล้วจะคลอดออกมาหน้ายิ้ม
แล้วก็ท่าทางจะมีแนวโน้มออกมาอย่างนั้นจริงๆด้วย

ทีนี้ถ้าหากว่าคิดในแง่ของธรรมะ ถ้าให้เขาฟังซีดีของครูบาอาจารย์
ที่เสียงท่านมีความอัศจรรย์ในเรื่องของการเทศน์
เสียงมีความสว่าง เสียงมีความบริสุทธิ์

ที่ผมแนะนำเป็นประจำก็หลวงพ่อพุธ
[1]
อันนี้คงทราบกันอยู่แล้วว่า ผมก็ไปบวชกับหลวงพ่อพุธ
แล้วก็มีความซาบซึ้งกับอัศจรรย์ทางเสียงของท่านมาก
อย่างเสียงของหลวงปู่เทสก์
[2]อย่างนี้ ก็เป็นเสียงที่บริสุทธิ์มากๆ นะครับ

ถ้าหากว่าเราเปิดให้เด็กในท้องฟังตั้งแต่แรกเลยเนี่ย ก็จะมีผลนะ
เพียงแต่ว่าคงยังไม่มีการทำวิจัยกันจริงจังเหมือนกับเพลงคลาสสิก
เพราะเพลงคลาสสิกเนี่ยขายได้
แต่ว่าเสียงธรรมะเนี่ยไม่ได้แพร่หลายสักเท่าไหร่
อย่างมากก็คงฟังกันในประเทศไทย
ส่วนเพลงคลาสสิกเนี่ยก็ฟังกันทั่วโลก
เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ถ้าหากจะมีการทุ่มทุนวิจัยกัน
แล้วก็แสดงหลักฐานเป็นเปเปอร์ออกมานะครับ ว่ามันได้ผลจริงๆ

ก็ถ้าหากเราทำให้เด็กคุ้นกับเสียงของธรรมะตั้งแต่อยู่ในท้อง
แล้วออกมายังทำให้เขาคุ้นกับเสียงเย็นๆ ของพ่อแม่นะ อันนี้จะมีผลมาก
บางคนเนี่ยนะเข้าใจว่าใช้อุบายวิธีอะไรที่มันดูวิจิตรพิสดารมาก
หรือว่าดูเท่มากหรือว่าดูไฮเทคมากๆ ต่างๆ นานาเนี่ย
จริงๆ แล้วผมขอบอกเลยว่าเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาจิตใจของเด็ก
ให้เป็นไปในทางธรรมให้มาในทางสว่างได้เนี่ย
ไม่มีอะไรล้ำสมัยเกินไปกว่าเสียงของพ่อแม่ที่เป็นธรรมอีกแล้ว

ถ้าหากคุณพูดคุยกันเย็นๆให้ลูกได้ยิน
นั่นน่ะคือการทำให้เขาได้รับธรรมะตั้งแต่ยังไม่รู้ความแล้ว

หรือถ้าคุณรู้ตัวว่า อันนี้ไม่ได้บอกว่าใครนะ แต่หมายถึงพูดรวมๆ นะ
ว่าถ้าหากเกิดความรู้สึกอยากจะนินทาว่าร้ายใคร
หรือว่าเกิดนึกอยากจะขึ้นเสียงกันเอง ใส่กันเองเนี่ย
ก็สะกิดๆ กันหน่อย คือปวารณาตัวไว้ บอกว่านี่จะทำเพื่อลูกนะ
อย่าให้เขาได้ยินอะไรที่จะไปก่อคลื่นความรุ่มร้อนขึ้นในจิตของเขา
เพราะเด็กเนี่ยไวกับเสียงมากๆเลย
เสียงนินทาว่าร้ายเป็นเสียงที่มีความร้ายกาจมาก
เสียงที่พ่อแม่ด่าทอกันหรือว่าทะเลาะกันเนี่ย
เป็นเสียงที่น่ากลัวมาก น่าหวั่นไหวมาก

แต่ถ้าเขาได้ยินแต่เสียงที่ดีๆ เสียงชื่นชมคนอื่น
เสียงที่เป็นพวกเดียวกัน มีความสามัคคีมีความปรองดองกัน
ก็จะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกอบอุ่นมาก
ยิ่งถ้าหากพ่อแม่คุยธรรมะกันเองนะ
แล้วพูดง่ายๆ ว่าไปอ้างอิงคำสอนครูบาอาจารย์มา
หรือว่าพูดถึงในลักษณะที่เขาเรียกกันว่าสนทนาธรรมเนี่ย
พูดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดในเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล
คลื่นเสียงที่เป็นเหตุเป็นผล และมีความเย็นมีความเป็นพวกเดียวกันเนี่ย

จะเข้าสู่โสตประสาทของลูกน้อย แล้วก็ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดความสว่าง
เกิดความรู้สึกว่าเราเกิดมาในโลกที่อบอุ่น

ถ้าหากว่าพ่อแม่เข้าใจหลักการตรงนี้
แล้วก็นำไปปฏิบัติจริงๆ ต่อหน้าลูกนะ ให้ลูกได้ยินอยู่ทุกวันทุกคืน
ขอให้รู้เถอะว่าเด็กคนนั้นมีบุญอย่างมหาศาลเลย เป็นเด็กที่มีบุญมากๆ
เพราะมันเป็นไปได้ยากที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่มีแต่พูดดีกับดี
แล้วก็ทำแต่ภาพที่มีแต่ความน่าชื่นใจให้ลูกเห็น เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณมีความเต็มใจ คุณและคู่ของคุณมีความเต็มใจ
มีความพร้อมใจ สมัครสมานสามัคคีพร้อมเพรียงกัน
ที่จะทำให้ลูกเห็น แล้วก็ได้ยินแต่อะไรที่มันเป็นธรรมะ
นั่นแหละเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแล้ว
เกินกว่าการจะไปเปิดเพลงคลาสสิก
เกินกว่าจะไปเอาลูกเนี่ยเข้าไปวัดทุกวันเสียอีก
อันนี้ยืนยันเลยนะว่าดีกว่าเอาลูกเข้าวัดทุกวันอีก
เพราะว่าเอาลูกเข้าวัดเนี่ย เราไม่สามารถประกันได้ว่าเด็กเนี่ยจะมองอะไร จะฟังอะไร
แต่อยู่ในบ้านเนี่ยประกันได้เลยว่าเด็กจะพยายามฟัง
ว่าพ่อแม่มาคุยกับตัวเองว่าอย่างไร แล้วพ่อแม่คุยกันเองอย่างไรนะครับ



[1] หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

[2] หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย