Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๒๒

dungtrin_cover

ปฏิบัติอย่างไรให้มีสติได้ในยามใกล้ตาย

dungtrin_gru2a

ถาม - หากเกิดเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุ
จนกำลังจะตายด้วยทุกขเวทนาอย่างหนัก
ถ้าต้องการตายอย่างมีสติ
เราควรจะดูเวทนาในขณะนั้น หรือดูลมหายใจ หรือต้องทำอย่างไรครับ

ตอบ - จำไว้เลยนะสำหรับคนที่ตั้งใจจะเจริญสติตอนตายเนี่ยนะ
ตอนที่มันเข้าด้ายเข้าเข็ม จวนไปจวนอยู่นี่
คนที่เป็นไปได้จริงมีอยู่พวกเดียว คือพวกที่เจริญสติไว้ก่อน
และเจริญสติในแบบที่ใกล้เคียงกับภาวะ ณ ขณะนั้นๆ ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเราเคยเจริญสติรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก
จะเอาแต่ลมยาวอย่างเดียวลมสั้นไม่เอา มีสติเฉพาะลมยาว
อย่างนั้นเนี่ยโอกาสที่จะไปเจริญสติในขณะเข้าด้ายเข้าเข็มมันยากนะ
เพราะว่าลมหายใจในขณะเข้าด้ายเข้าเข็มน่ะ
ถ้าใครเคยผ่านมาก่อนจะรู้
ตอนตกใจ ตอนกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ลมหายใจมันจะสั้น หรือไม่ก็กระตุกถี่ หรือไม่ก็มีความรู้สึกเหมือนกับ...
โดยเฉพาะพวกที่หายใจไม่ออกน่ะ
เป็นประเภท เป็นโรคอะไรบางอย่าง โรคหัวใจหรือว่าโรคหลายๆ โรค
อย่างตอนนี้ที่ระบาดกันเยอะแยะเลย พวกที่หายใจไม่ออกตอนนอน
ภาวะที่หายใจติดขัดขณะนอนหลับ
บางคนก็ไหลตายไปเลย บางคนก็จวนอยู่จวนไป
นี้พูดจากประสบการณ์ตรง เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน


ถ้าหากว่าเราไม่ได้เจริญสติ แบบที่จะดูลมหยุดหรือว่าดูลมหายใจสั้นไว้ก่อน
พอเกิดภาวะแบบนั้นเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่สติจะเกิดขึ้น
ถ้าเราจะไปเจาะจงดูลมหายใจนะ
แต่ถ้าหากว่าตอนกำลังตื่นอยู่ ตอนกำลังดีๆ อยู่เนี่ย เราฝึกดูแบบครบสูตร
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแนะไว้ในอานาปานสติสูตรเนี่ยนะ
ก็คือ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจยาวก็รู้ ลมหายใจสั้นก็รู้
รู้ไปทุกสภาพของกองลม ไม่ว่ามันจะดีไม่ดี
มันจะหยาบหรือละเอียด มันจะยาวหรือมันจะสั้น
เราดูหมดเราตามหมด เราเห็นหมด เห็นความไม่เที่ยง
แล้วก็รู้ว่าลมหายใจเนี่ย กองลมทั้งปวงเนี่ยมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่ธาตุลม
ตรงนี้แหละที่มันจะมีสิทธิ์เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ย
ไม่ว่าจะกำลังอยู่ในภาวะลมหายใจแบบไหน
มันสามารถเจริญสติ มันสามารถจุดชนวนสติขึ้นมาได้ทั้งหมด

แล้วจิตที่เคยชินกับการรู้สึกถึงลมหายใจทั้งปวง
มันจะมีความไวมากเลยนะ มันจะสามารถเห็นทันทีว่า
ณ ขณะนั้นภาวะลมหายใจของเรากำลังเป็นอย่างไรอยู่
หรือถ้าไม่พูดถึงลมหายใจมาพูดถึงเวทนาก็ได้
อย่างคนที่เจ็บพะงาบๆ ใกล้จะอยู่ใกล้จะไปเนี่ย
มักจะมีความทุรนทุรายทางกาย มีความกระสับกระส่ายทางกาย
หรือไม่ก็มีความอึดอัด มีความทุกข์ มีความเจ็บปวดบางอย่าง
ที่มันเหมือนกับมนุษย์มนาเขาไม่สามารถที่จะดูกันได้
แต่ถ้าหากว่าเราเคยผ่านมาก่อน
คืออย่างเช่นความเจ็บเล็กๆ น้อยๆ โดนยุงกัด โดนมดกัด
หรือว่าเวลาร้อนเร่าขึ้นมา เราดูอาการกระสับกระส่าย
นี่อย่างนี้เรียกว่าผ่านการเจริญสติดูทุกขเวทนามาก่อน
แล้วสามารถเอาไปแอพพลายด์ได้ เอาไปใช้ได้กับขณะใกล้ตาย

ลองดูตามความเป็นจริง
เวลาคนเกิดความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ
มันมักจะหาทางหนีไปสู่ความสุข
ยกตัวอย่างเช่น อากาศร้อนขึ้นมา
ไม่ดูหรอกครับความกระสับกระส่ายทางกาย หรือว่าความกระสับกระส่ายทางใจ
แต่จะถามหาแอร์ทันที หรือไม่อย่างขั้นต่ำก็ต้องพัดลม
ต่อให้เคยเจริญสติมาแค่ไหนก็เถอะ ลองดูเถอะใจของคนน่ะ
มันไม่อยากจะดูหรอกความร้อน ความกระสับกระส่ายกายกระสับกระส่ายใจ
มันอยากจะหาแอร์ก่อน ใจมันพุ่งไปหาความเย็นก่อน
แต่ตอนจะตายเนี่ยนะ ถ้าเกิดความเร่าร้อนขึ้นมา ถ้าเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาเนี่ย
มันเรียกหาแอร์ไม่ได้นะ ถ้าไม่ฝึกสติไว้ก่อน
มันไม่มีความเคยชินที่จะเข้าสู่ภาวะสำรวมใจให้มีสติขึ้นมาได้
เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเคยผ่านมาเท่านั้นนะ

คำแนะนำ สรุปคำตอบก็คือว่า
จะดูลมหายใจหรือว่าจะดูเวทนาเนี่ยไม่สำคัญในขณะตาย
แต่สำคัญตรงที่ว่าตอนเรากำลังดีๆ อยู่เนี่ย
เราเคยฝึกเจริญสติเห็นลมหายใจในทุกๆ สถานการณ์ไว้บ้างหรือเปล่า
เราเคยเจริญสติเห็นทุกขเวทนาในทุกๆ สถานการณ์ไว้บ้างหรือเปล่า
ถ้าหากว่าในขณะดีๆ อยู่ เราดู ดูมันหมด จะลมหายใจ จะเวทนา จะสภาพจิต
ดูครบสูตรตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ให้ดูในสติปัฏฐาน ๔
นั่นแหละเรียกว่าเป็นคนที่เตรียมตัวตายไว้พร้อมแล้ว
ต่อให้ไม่คิดนะว่านั่นคือการเจริญมรณสติ
ต่อให้ไม่คิดว่านั่นคือการพยายามที่จะเอาตัวรอดให้ได้ในขณะตายแบบฉุกเฉิน
ถ้าคุณเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นนักเจริญสติจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเตรียมตัวตายแล้วนะครับ