Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๑๘

dungtrin_cover

ถ้าพระสงฆ์ทำสังฆทานจะได้บุญแตกต่างจากฆราวาสอย่างไร

dungtrin_gru2a

ถาม - คนที่บวชเป็นพระสงฆ์
แล้วได้ทำสังฆทานแด่พระสงฆ์ด้วยกัน ทั้งในวัดเดียวกันและต่างวัด
จะได้บุญจากการทำสังฆทานในฐานะพระสงฆ์
มากกว่าที่ทำในตอนเป็นฆราวาสหรือไม่

ตอบ - ในฐานะของพระเนี่ยนะ ถ้าหากว่าทำทานเนี่ย ต้องดูกำลังใจน่ะ
คือจริงๆ แล้วเนี่ย เป็นพระเนี่ยแทบทุกกระดิกนะ
เป็นมหากุศลได้หมด แล้วก็เป็นมหาอกุศลได้หมด
เนื่องจากในขณะที่ครองเพศบรรพชิต
จิตใจเนี่ยจะเป็นผู้ครองศีล สำรวม แล้วก็มีความสะอาดยิ่งกว่าฆราวาส
คือต่อให้ไม่ต้องทำทานอะไรเลยเนี่ย
เอาแค่ว่านั่งอยู่เฉยๆ เนี่ย แล้วก็มีความรู้สึกสำนึกอยู่ว่า
นี่เราเป็นพระ นี่เราจะต้องระวัง
จะเดินจะเหินไปไหนมาไหน แล้วมีความสำรวมระวัง
ด้วยความคิดว่าเราจะรักษาสมณะสารูป
เพื่อให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่บรรดาญาติโยมที่ได้เห็น
คือไม่ได้ตั้งใจไปหลอกลวงเพื่อที่จะเอาลาภสักการะมาเข้าตัวนะ

แต่ด้วยความสังวรระวังว่าเราเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
เราเป็นพุทธบุตร เรามีหน้าที่
ที่จะทำให้ญาติโยมเนี่ยเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา
ในฐานะของผู้สืบทอดโดยตรง ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งเลยนะ
ก็จะเป็นบุญแล้ว ไม่ต้องเลี้ยงพระ ไม่ต้องทำสังฆทาน หรืออะไรเนี่ย
แค่ขณะจิตที่คิดอย่างนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังลาภสักการะตอบแทน
แค่คิดว่าเราจะทำตัวให้มีความสง่างามสมกับเป็นพุทธบุตร
แค่นี้นะ แค่คิดอย่างนี้นะ มันบอกไม่ถูกเลยว่าบุญขนาดไหน
บอกไม่ถูกเลยว่า ได้โชคดีขนาดไหนที่ได้คิดอย่างนั้น
ในฐานะของพระ จิตพร้อมเป็นมหากุศลได้อยู่แล้ว
ในฐานะของคนที่รักษาศาสนาเพียงด้วยกิริยาอันสงบสำรวม

ทีนี้ถ้าหากว่ามีใจคิดเป็นทานอยากจะทำบุญ
จะเลี้ยงพระหรือว่าจะไปประกอบทานใดๆ ก็ตามในฐานะของสงฆ์
ถ้าหากว่าเป็นส่วนที่เราพึงมีพึงได้
ของที่นำไปทำบุญนั้นได้มาโดยชอบ
แล้วก็ให้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
อันนั้นจะให้ในฐานะของพระ
ซึ่งหมายความว่ากุศลจิตที่เกิดขึ้นเนี่ยนะ
มันเท่าเดิมแหละเหมือนกับตอนที่เป็นฆราวาส
แต่ผลที่ออกมาเนี่ย มันยิ่งกว่า
คือใจที่มีความเสียสละแบบพระ
ใจที่คิดในทางเป็นบุญในทางเป็นกุศลแบบพระเนี่ยนะ
มันพร้อมที่จะไปต่อยอด
บอกแล้วว่าฐาน ฐานของกุศลเนี่ย ฐานของจิตที่พร้อมที่จะทำบุญเนี่ยนะ
มันยิ่งกว่าฆราวาสอยู่แล้ว เหนือกว่าฆราวาสอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าเอาฐานของจิตที่สูงอยู่แล้วไปทำบุญเข้าไปอีก
ก็แปลว่าผลย่อมได้มากกว่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะ อย่าไปมองเป็นผลในแบบที่ว่า
เดี๋ยวชาติหน้าจะได้อะไร รับอะไรเป็นรางวัลหรือผลตอบแทน
แต่ขอให้มองว่าจิตที่คิดสละ
มันเป็นไปในทางที่จะเอาออกจากตัว
ทิ้งอะไรที่มันรกรุงรัง ออกจากตัว
ทิ้งอะไรที่มันเป็นกิเลสที่มันเป็นความมืด
ที่มันเป็นความหนักของจิตออกจากตัว
ทำให้เกิดความพร้อมที่นะจะปล่อยวาง
การให้ทานนะเป็นการปล่อยวางชนิดหนึ่ง
เป็นการปล่อยวางแบบที่เป็นรูปธรรม
แบบชัดๆ เลย ที่เห็นเลยว่า นี่ เราเอาของส่วนตัวไปให้กับส่วนรวม
เราเอาของที่มีอยู่ เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา
ยกให้ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของคนอื่น
ถ่ายถอนอุปาทาน เข้าใจผิดว่า มีอะไรเป็นของเรา
มีอะไรเป็นเกี่ยวเนื่องกับตัวของเรา

ยิ่งให้มากเท่าไหร่ ตัวยิ่งเบาใจยิ่งเบา
แล้วถ้าหากว่าประกอบพร้อมกับสัมมาทิฏฐิ
คือมีความสามารถที่จะเจริญสติ มีความสามารถที่จะทำกรรมฐานนะ
อันนี้ก็จะเห็นเลยว่าจิตของเราเนี่ย ยิ่งเบาๆ ยิ่งเบาลง
ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวตนนี้มันไม่มี
ไอ้ของที่ผูกติด ผูกรัด ร้อยรัด ให้เกิดความรู้สึกในตัวในตนเนี่ย มันไม่มี
นี่ ตรงนี้ที่ชัดเจนนะว่าเป็นพระเนี่ย ให้ทานนี่ได้บุญยิ่งกว่าฆราวาสอย่างไร
หน้าที่ของพระพร้อมอยู่แล้วที่จะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
หน้าที่ของพระพร้อมอยู่แล้วที่จะเอาบุญนะ
ที่จะเอากุศลจิตมาต่อยอดบำเพ็ญภาวนา
ทำให้เกิดสมาธิ ทำให้เกิดวิปัสสนาญาณยิ่งๆ ขึ้นไปทุกวัน
นี่ตรงนี้นะ ขอให้มองตรงนี้ก็แล้วกัน ว่าการทำทานแบบพระเนี่ย
มีผลดีชัดเจนกว่าตอนเป็นฆราวาสอย่างไร
มองง่าย ๆ กันตรงที่เล็งไปทางไหน มีมุมมองในการใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างไร
เอาตรงนี้เป็นหลักนะครับ