Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๘๗

พินัยกรรม

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

dhammajaree 187

เมื่อประมาณ ๔ เดือนก่อน มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินทางมาที่บ้านผม
โดยเธอป่วยหนักเป็นโรคร้ายแรง จึงได้จัดทำพินัยกรรมขึ้นมาฉบับหนึ่ง
ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้เธอไม่มีลูกนะครับ มีแต่อดีตสามี และมีหลานอีก ๓ บ้าน รวม ๖ คน
เธอได้นำพินัยกรรมมาให้ผมอ่าน และบอกผมว่าเธอขอให้ผมช่วยเป็นผู้จัดการมรดกให้ด้วย

ผมลองอ่านพินัยกรรมแล้ว พบว่าเธอให้ผมจัดการกองมรดกร่วมกับญาติอีกท่านหนึ่ง
และพบว่าเธอมีที่ดินในต่างจังหวัดหลายแปลง
ซึ่งเวลาจะดำเนินการขายที่ดินเหล่านั้น ผมจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหลายครั้ง
พินัยกรรมยังเขียนว่า เวลาจะขายที่ดินนั้น ผมต้องได้รับความเห็นชอบจากคนรู้จักอีกคนหนึ่ง
(ซึ่งไม่ใช่ญาติที่ร่วมจัดการกองมรดกร่วมกันกับผมนะครับ โดยถ้าเขาไม่เห็นชอบ ก็ขายไม่ได้)

เมื่อขายที่ดินและได้เงินมาแล้ว พินัยกรรมไม่ได้แบ่งเงินให้ทุกคนทั้งหมดในทันทีนะครับ
โดยบางคนก็อาจจะได้เงินก้อน แต่สำหรับบางคนนั้นต้องทยอยโอนเงินให้ทุกเดือน
เช่น พินัยกรรมบอกว่าให้ทยอยโอนเงินให้อดีตสามีของเธอทุกเดือนต่อเนื่องไปเป็นเวลา ๑๐ ปี
และให้ทยอยโอนเงินให้หลาน ๖ คนทุกเดือนต่อเนื่องไปเป็นเวลา ๒๐ ปี
พินัยกรรมยังเขียนต่อไปว่า เมื่อจัดสรรแบ่งทรัพย์มรดกหมดแล้ว
ให้เงินส่วนที่เหลือให้นำไปทำบุญกุศลตามสาธารณะกุศลต่าง ๆ หลาย ๆ แห่ง
ซึ่งก็ไม่ชัดเจนว่าจะให้ไปทำบุญอะไรบ้าง และทำกี่ที่กันแน่ อ่านแล้วก็ไม่แน่ใจ

ในขณะที่ผมก็ไม่ได้อะไรจากพินัยกรรมนะครับ ผมไม่ได้มีส่วนอะไรในกองมรดกด้วยเลย
สรุปคือ ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้จะให้ผมเดินทางไปต่างจังหวัดหลาย ๆ รอบ เพื่อช่วยขายที่ดิน
และจัดสรรแบ่งเงินทรัพย์มรดกของเธอให้กับทายาทต่าง ๆ
และจัดการโอนเงินให้อดีตสามีของเธอทุกเดือนเป็นเวลา ๑๐ ปี
และโอนเงินให้หลาน ๖ คนของเธอเป็นเวลา ๒๐ ปี
โดยทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นระยะเวลา ๒๐ ปี ทำโดยไม่มีค่าตอบแทนอะไรด้วย
เรื่องค่าตอบแทนนั้นไม่สำคัญนะครับ แต่ปัญหาคือภาระมันเยอะมาก และยาวนานมาก
ผมอ่านแล้วก็นึกในใจว่า งานปัจจุบันของเราเองก็ทำแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว
และผมเองจะมีชีวิตอยู่ถึง ๒๐ ปีหรือเปล่า ก็ไม่รู้

ผมจึงโทรศัพท์ไปหาญาติอีกท่านหนึ่งที่เธอจะให้มาจัดการกองมรดกร่วมกับผม
และได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังต่อหน้าเธอนะครับ โดยผมเปิด speaker phone ให้เธอได้ฟังด้วย
ญาติอีกท่านหนึ่งเขาได้ฟังแล้ว เขาก็ด่าเปิงนะครับ (ต้องเซ็นเซอร์ครับ เล่าในที่สาธารณะไม่ได้)
โดยสรุปก็คือเขาเห็นว่าญาติผู้ใหญ่ท่านนี้คิดแต่ประโยชน์ตนเอง และไม่เห็นใจคนอื่นบ้าง
เขาไม่สามารถจะช่วยได้ และขอให้เธอลบชื่อเขาออกจากพินัยกรรมของเธอด้วย
ถ้าเธอไม่ลบออก เขาก็จะไม่ยุ่งใด ๆ ในการจัดการทรัพย์มรดกทั้งสิ้น โดยเขาก็ไม่แคร์ด้วย

ผมไม่เคยเจอพินัยกรรมอะไรที่ซับซ้อน และโหดร้ายกับผู้จัดการมรดกเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะช่วยนะครับ แต่ถ้าจะให้ผมช่วยทำตามที่เธอเขียนทั้งหมดแล้ว
ผมเห็นว่าเป็นภาระที่หนักมาก ยาวนานมาก และเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ด้วย
แต่ประเด็นหลักที่สำคัญที่สุดก็คือ พินัยกรรมฉบับนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่ตัวเธอเองเลย
แม้เธอจะหลงเข้าใจว่าพินัยกรรมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเธอก็ตาม
ผมกลับมองว่าพินัยกรรมฉบับนี้จะเป็นสิ่งที่ทำร้ายเธอ และนำพาเธอไปอบายภูมิเสียด้วย

ผมถามเธอว่าที่เขียนว่าให้โอนเงินให้หลาน ๖ คนต่อเนื่องเป็นเวลา ๒๐ ปีนี้
ทำไมต้องโอนต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานขนาดนั้น?
เธอตอบว่า เพราะต้องการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของหลาน
ผมถามว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ เคยโอนเงินให้หลานบ้างหรือเปล่า?
เธอตอบว่า ยังไม่เคยโอนเงินให้หลานเลย
ผมถามว่า ทำไมเธอถึงยังไม่เคยโอนเงินให้พวกเขาเลย?
เธอตอบว่า ยังไม่มีเงิน ตอนนี้มีแต่ที่ดิน
ผมจึงแนะนำเธอว่าแทนที่เธอจะรอเวลาให้เธอตายเสียก่อนแล้วค่อยให้ผมไปช่วยหลาน
เธอควรจะขายที่ดินเสียบางส่วน เพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้รักษาตัว
และเธอจะสามารถโอนเงินช่วยเหลือหลาน ๖ คนในเรื่องการศึกษาได้ในขณะนี้เลย

เธอบอกผมว่า รอให้เธอตายก่อน แล้วค่อยให้ผมโอนเงินมรดกให้หลาน
ก็น่าจะเหมือนกัน เพราะว่าก็คือเงินของเธอเหมือน ๆ กัน
ผมอธิบายว่า ไม่เหมือนกันนะครับ
ประการแรก ถ้าเธอเก็บที่ดินไว้เยอะแยะ แต่เธอไม่มีเงินในบัญชีเลย
เวลาที่เธอเข้าโรงพยาบาล เธอจะไม่มีเงินใช้จ่าย และต้องไปยืมคนอื่น
ก็จะยิ่งทำให้เธอยิ่งเครียด และทำให้ป่วยหนักกว่าเดิม
ประการที่สอง ถ้าสมมุติว่าเธอตายช้า เช่น เธออยู่ต่อไปอีก ๕ – ๖ ปีแล้วค่อยตาย
หลาน ๖ คนนี้ก็อยู่อย่างลำบากต่อไป โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือในขณะนี้
ทำไมเธอจึงไม่ช่วยเหลือหลานในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือในปัจจุบัน
ทำไมจะต้องเวลาให้เวลาผ่านไป ซึ่งในอนาคตนั้นพวกเขาอาจจะไม่เดือดร้อนแล้วก็ได้
ถ้าหลานลำบากในขณะนี้ ไม่มีเงินเรียน และท้ายสุด หลานเรียนไม่ได้ดี หรือไม่ได้เรียนต่อ
แล้วเธอไปให้เงินหลานในอนาคต เพื่อจะให้หลานเรียน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร

ญาติอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยในขณะนั้นได้ถามผมว่า
แต่เธอคนนี้ก็ใจดีไม่ใช่หรือ ที่แบ่งเงินของเธอให้หลาน ๖ คนในพินัยกรรม?
ผมตอบว่า ไม่ใจดีครับ ในทางกลับกัน ผมมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวครับ
เพราะเธอไม่กล้าแม้จะแบ่งเงินของเธอช่วยเหลือหลานและคนอื่น ๆ ในเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่
โดยเธอให้แบ่งเฉพาะภายหลังเธอตายแล้ว ซึ่งในเวลานั้น เธอก็ใช้เงินนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
เธอนำเงินนั้นติดตัวเธอไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว ใช้เงินก็ไม่ได้ และเงินก็ไม่ใช่ของเธอแล้ว
ไปแบ่งตอนนั้น มันแบ่งง่ายครับ ยกให้ได้ง่าย ๆ เพราะยังไงเราก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว
ซึ่งในกรณีของเธอนี้ เธอยังหวงกันเงินนั้นไว้ ต้องการควบคุมไว้ โดยผลักภาระหน้าที่มาให้ผม
โดยเธอไม่ได้คิดเลยว่า จะเป็นภาระแก่ผมกับญาติอีกท่านหนึ่งไปอีก ๒๐ ปี
ในขณะที่ผมกับญาติอีกท่านหนึ่งก็มีภาระส่วนตัวอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบเยอะแยะอยู่แล้ว
สรุปคือ ผมตอบว่า สิ่งที่เธอทำนี้เป็นการเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตนเอง
และไม่ได้คิดถึงคนอื่นที่เขาต้องมาลำบาก เพื่อสนองความต้องการของเธอเลย
(ฟังดูแล้วใจร้ายนะครับ แต่ผมก็เห็นว่าจำเป็นต้องพูดตรง ๆ ครับ
ไม่อย่างนั้นแล้ว ที่ดินที่เธอมีนี้แหละ จะทำให้เธอไปอบายภูมิ ไม่ได้ไปสุคติภูมิ)

ผมถามต่อไปว่า แล้วที่พินัยกรรมบอกว่า เงินมรดกส่วนที่เหลือให้นำไปทำบุญนั้น
ทำไมเธอจึงไม่ไปทำบุญด้วยตัวเองในขณะนี้ ทำไมต้องรอให้ผมไปทำให้ภายหลังจากเธอตายแล้ว?
เธอตอบว่า เธอเข้าใจว่า ให้ผมไปทำก็เหมือนกันกับเธอทำเอง เธอก็ได้บุญเหมือนกัน
ผมถามเธอว่า สมมุติว่าเธอหิวข้าว แล้วเธอฝากให้ผมไปทานข้าวแทนเธอ
ถามว่าเธอจะรู้สึกอิ่ม และหายหิวไหม?
เธอตอบว่า ไม่อิ่มหรอก ก็ต้องหิวอยู่
ผมถามต่อไปว่า ถ้าเธอปวดปัสสาวะ แล้วเธอฝากให้ผมไปปัสสาวะแทน
ถามว่าเธอจะหายปวดปัสสาวะได้ไหม?
เธอตอบว่า ไม่หายปวดสิ เธอก็ยังปวดปัสสาวะอยู่
ผมถามต่อไปว่า ถ้าเธอนั่งตากแดดรู้สึกร้อน แล้วเธอฝากให้ผมนั่งในห้องแอร์แทนเธอ
ถามว่าจะช่วยเธอจะรู้สึกหายร้อนได้ไหม?
เธอตอบว่า ไม่ช่วยให้เธอหายร้อนหรอก โดยเธอก็ยังร้อนอยู่
ผมถามต่อไปว่า ถ้าเธอรู้สึกปวดท้อง แล้วเธอฝากให้ผมทานยาแก้ปวดท้องแทนเธอ
ถามว่าจะช่วยให้เธอหายปวดท้องได้ไหม?
เธอตอบว่า ไม่ช่วยให้หายหรอก เธอก็ยังปวดท้องอยู่
ผมถามว่า ในทุกกรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ เธอต้องไปทานข้าวเอง ไปปัสสาวะเอง
ไปเข้าห้องแอร์เอง และไปทานยาแก้ปวดท้องด้วยตนเองใช่ไหม
เธอตอบว่า ใช่
ผมถามต่อไปว่า เช่นนี้แล้ว เธอฝากให้ผมไปทำบุญแทน แล้วจะได้บุญเหมือนกันได้ยังไง?

เธอฟังถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงียบไปครู่หนึ่งนะครับ
แล้วเธอก็ถามผมว่า ผมจะแนะนำให้เธอทำอย่างไร?
ผมจึงอธิบายว่าก็ให้เธอขายที่ดินบางส่วนตามที่บอกนั่นแหละ (หรือจะขายทั้งหมดก็ตามแต่)
จะได้มีเงินไว้รักษาตัว และเธอจะได้โอนเงินช่วยเหลือหลาน ๖ คนด้วยตนเองในขณะนี้
แล้วก็มีเงินไปทำบุญกุศลด้วยตนเองในขณะนี้ด้วย
นอกจากนี้ ก็ให้เธอหมั่นสวดมนต์ และนั่งสมาธิไปด้วยทุกวัน ๆ
เพราะจะเป็นหลักประกันที่แน่นอนว่าเธอย่อมได้บุญกุศลแน่ ๆ เห็นได้ด้วยตนเอง รู้ได้ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องไปฝากความหวังไว้ลม ๆ แล้ง ๆ กับคนอื่นให้เขาช่วยทำให้

ส่วนเรื่องพินัยกรรมนั้น ผมแนะนำให้เขียนให้มันง่ายกว่านี้ ไม่ต้องซับซ้อนมาก
ไม่ต้องใช้เวลาให้ยืดยาว เธออยากจะแบ่งให้ใครเท่าไร ก็ให้เขาไปเลยทีเดียว
ไม่ต้องมาผูกพันกันไว้ถึง ๒๐ ปี เพราะผมไม่มีเวลามาโอนเงินให้ทุกเดือนหรอก
ภาระอื่น ๆ ผมก็เยอะอยู่แล้ว และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาอยากทำให้ด้วย
นอกจากนี้ ถ้าจะให้ดีแล้ว ผมแนะนำว่าเธอควรจะตั้งคนที่มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดก
โดยแนะนำให้ตั้งน้องคนหนึ่งที่เขามีส่วนได้เงินจากกองมรดกนั้นเป็นผู้จัดการมรดก
น้องคนนั้นจะได้ตัดสินใจได้เองว่าควรจะขายที่ดินในราคาเท่าไร
ถ้าตั้งราคาสูงไปแล้วขายยาก จะรอได้นานแค่ไหน น้องคนนั้นก็ตัดสินใจได้เองเลย
ในทางกลับกัน ถ้าให้ผมมาตัดสินใจแทนแล้ว ถ้าตั้งราคาสูงไป ขายไม่ได้ ผมก็โดนตำหนิ
แต่ถ้าผมตั้งราคาต่ำลง และขายได้เร็ว ผมก็โดนตำหนิว่าขายราคาถูกไป
สรุปแล้วคือ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอแท้ ๆ
นอกจากนี้แล้ว ผมยังแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพบางอย่างให้เธออีกด้วย
เธอรับปากว่าเธอจะไปทำตามที่ผมแนะนำ
ยกเว้นว่าเธอยังต้องการให้ผมเป็นผู้จัดการมรดกให้เธออยู่ดี
ผมตอบว่าผมไม่รับปาก เพราะถ้ามันวุ่นวายซับซ้อนเกินไป ผมก็ไม่มีเวลาไปช่วยทำให้

หลังจากนั้นเท่าที่ผมทราบจากญาติท่านอื่น ก็ทราบว่าขณะนี้เธอได้ขายที่ดินไปบางส่วนแล้ว
โดยเมื่อเธอขายที่ดินได้แล้ว เธอก็ไม่ต้องทำงานอีก และมีเวลาสวดมนต์อยู่กับบ้าน
และได้เดินทางไปทำบุญที่วัดต่าง ๆ รวมทั้งไปร่วมทำกฐินหลาย ๆ วัดในช่วงที่ผ่านมาด้วย
นอกจากนี้ เธอได้โอนเงินส่วนหนึ่งไปให้หลาน ๖ คน เพื่อช่วยเหลือเรื่องการศึกษาแล้ว
ในขณะที่อาการป่วยของเธอนั้น ก็ไม่ได้อาการทรุดลง หรือแย่ลง
ซึ่งผมเข้าใจว่าเธอดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือเธอไม่เครียด
โดยเธอสบายใจที่ได้ทำบุญกุศลครับ

ในทางกลับกัน ถ้าเธอยังหวงกันที่ดินของเธอไว้ ยังเก็บไว้ไม่ยอมขายเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย
เธอเองก็จะเครียด และป่วยหนักมากขึ้น หลาน ๆ เธอก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือในขณะนี้
เธอเองก็ไม่ได้มีโอกาสไปทำบุญกุศลด้วยตนเองในขณะนี้
และยามเมื่อเวลาเธอใกล้ตายขึ้นมา จิตใจก็ห่วงหวงอยู่กับที่ดินตนเอง และเครียด
ผมไม่คิดว่าเธอเดินไปในทางนั้นแล้ว จะสามารถพาเธอไปสุคติภูมิได้หรอกครับ
พินัยกรรมที่เธอคิดว่าดีสำหรับเธอนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นโทษแก่เธออย่างมหันต์
โดยพินัยกรรมนั้นจะเป็นตัวมัดเธอให้แน่นในเส้นทางที่จะนำพาเธอไปอบายภูมิ

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าดีสำหรับเรานั้น มันอาจจะไม่ดีดังที่เราเข้าใจก็ได้
เราพึงใช้โยนิโสมนสิการ หรือกัลยาณมิตรช่วยตรวจสอบให้เสียก่อน
ในการตรวจสอบอย่างง่าย ๆ ก็อาจตรวจสอบว่า สิ่งนี้เป็นไปเพื่อทาน ศีล และภาวนา
หรือเป็นไปเพื่อกิเลส ตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น

นอกจากนี้ เวลาที่เราจะทำบุญกุศลอะไรนั้น ก็พึงทำด้วยตนเองทันทีที่สามารถทำได้ครับ
เราไม่ควรไปรอฝากคนอื่นทำแทนให้ในอนาคตภายหลังจากเราตายไปแล้ว
บางท่านอาจจะบอกว่าเมื่อเราตายแล้ว เขาก็ทำบุญอุทิศให้เราได้มิใช่หรือ?
ผมขอเรียนว่ามีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเยอะแยะมากนะครับ เช่น เขาอาจจะไม่ได้ทำบุญให้เราเลย
หรือเขาอาจทำบุญถวายทานในขณะที่จิตใจเป็นอกุศล ก็ทำให้ทานเศร้าหมอง
หรือเขาอาจไปทำบุญผิดวิธี ทำบุญในเนื้อนาบุญที่ได้บุญกุศลน้อย
หรือเขาทำบุญแล้วเขาลืมอุทิศบุญกุศลให้เรา หรือเขาสวดอุทิศให้แต่ปาก แต่ใจไม่ได้อุทิศให้เรา
หรือเราไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่สามารถอนุโมทนาบุญได้ หรือไม่สามารถรับส่วนบุญกุศลได้
หรือเขาอุทิศให้เราแล้ว แต่เราอนุโมทนาบุญไม่เป็น หรือรับส่วนบุญกุศลไม่เป็น เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยความเสี่ยงมีเยอะแยะมากนะครับ
ฉะนั้นแล้วพึงทำบุญกุศลด้วยตนเองในขณะที่สามารถทำได้ในปัจจุบันนี้ ย่อมจะดีที่สุดครับ