Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๘๖

คิดไม่ทัน

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

dhammajaree 186

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้คุยกับญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังว่า
เธอได้เรียกรถแท็กซี่จากถนนแจ้งวัฒนะให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบริเวณถนนพระราม ๑
ซึ่งแท็กซี่คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง และมารยาทการสนทนาไม่ค่อยดี
แถมคนขับแท็กซี่ยังได้ไปส่งเธอที่ห้างสรรพสินค้าอีกแห่งหนึ่งที่ย่านประตูน้ำ
เธอบอกคนขับแท็กซี่ว่า ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
และขอให้เขาขับรถต่อไป เพื่อไปส่งเธอที่ห้างสรรพสินค้าอีกแห่งหนึ่งบริเวณถนนพระราม ๑
(ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากประตูน้ำเท่าไร และการจราจรขณะนั้นก็ไม่ได้ติดมากมาย)
แต่คนขับแท็กซี่ทำท่าทางหงุดหงิด และขอให้เธอลงจากรถ
โดยบอกว่า เขาไม่คิดค่าโดยสาร และขอให้เธอไปเรียกรถคันใหม่ไปถนนพระราม ๑ เอง
เธอเองก็ไม่พอใจคนขับแท็กซี่ และก็ลงจากรถแท็กซี่ไปโดยไม่ให้ค่าโดยสาร

ผมได้แนะนำเธอว่า เธอน่าจะให้ค่าโดยสารแก่คนขับแท็กซี่เขานะ
โดยเธออาจจะหักค่าโดยสารที่ต้องไปเรียกรถแท็กซี่ต่อก็ได้
ซึ่งเธอสมควรต้องให้ค่าโดยสารแก่เขาบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่ให้เลย
หรือเธออาจจะให้ค่าโดยสารไปทั้งจำนวน แล้วเธอออกค่ารถแท็กซี่ที่จะไปต่อเองก็ได้
เธอตอบว่าคนขับแท็กซี่เป็นคนบอกเองนะว่า เขาไม่คิดค่าโดยสาร เธอไม่ได้เป็นคนร้องขอ
ซึ่งคนขับแท็กซี่ใช้กิริยาและคำพูดไม่ดี และหงุดหงิดใส่เธอ
แถมเธอยังโดนไล่ลงจากรถแท็กซี่ให้ไปเรียกคันอื่นอีก เธอสมควรจ่ายค่าโดยสารด้วยหรือ

ผมจึงถามญาติธรรมท่านนั้นว่า ระหว่างคนขับแท็กซี่คนนั้นและเธอ
เธอคิดว่าใครมีฐานะยากลำบากกว่ากัน ใครหารายได้ได้ยากลำบากกว่ากัน?
เธอตอบว่า คนขับแท็กซี่มีฐานะยากลำบากกว่า และหารายได้ได้ยากลำบากกว่า
ผมถามต่อไปว่า ใครน่าจะมีความรู้ทางโลกดีกว่า และมีปัญญาทางธรรมดีกว่ากัน?
เธอตอบว่า เธอน่าจะมีความรู้ทางโลกดีกว่า และมีปัญญาทางธรรมดีกว่า
ผมจึงถามว่า แล้วทำไมเธอจึงให้คนขับแท็กซี่นั้นขับรถมาส่งเธอฟรี ๆ ล่ะ
ทำไมเธอจึงเก็บค่าโดยสารที่ควรจะจ่ายให้เขาไว้ล่ะ?
เธอตอบว่า ก็คนขับแท็กซี่เขาไม่เอาเอง เธอไม่ได้จะไม่จ่ายเขานะ

ผมจึงเล่าตัวอย่างให้ฟังว่า ผมมีญาติอาวุโสท่านหนึ่ง
ท่านชอบนำของไปแจกทำบุญหลาย ๆ แห่ง รวมทั้งแจกคนขับและกระเป๋ารถเมล์ด้วย
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านไปขึ้นรถเมล์คันหนึ่ง ซึ่งกระเป๋ารถเมล์คันนั้นรู้จักกับท่าน
กระเป๋ารถเมล์จึงบอกว่าไม่เก็บเงินค่าโดยสารจากท่าน และให้ท่านนั่งฟรี
ท่านได้มาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง
โดยท่านสรุปว่า ท่านทำบุญแจกของจนกระทั่งไปพบกระเป๋ารถเมล์ที่รู้จักท่าน
และเขาก็ไม่เก็บเงินท่าน ท่านก็เลยได้นั่งรถฟรี เพราะท่านเคยทำบุญให้ของเขาไว้

ผมได้อธิบายว่า เงินที่กระเป๋ารถเมล์ไม่เก็บนั้น ไม่ใช่เป็นเงินของกระเป๋ารถเมล์เขานะครับ
แต่เป็นเงินของ ขสมก. ซึ่งถ้าเป็นรถเมล์ร่วม ก็เป็นเงินของเจ้าของสายรถเมล์
ถ้ากระเป๋ารถเมล์ไม่เก็บเงิน แล้วเขาควักเงินตัวเองจ่ายให้แทน อย่างนั้นถือว่าถูกต้อง
แต่ถ้าเขาไม่เก็บเงินเรา และเขาก็ไม่ได้ควักเงินตัวเองจ่ายให้
โดยสภาพก็เท่ากับว่าเขาและเราร่วมกันไม่จ่ายค่าโดยสารให้ ขสมก. หรือเจ้าของสายรถเมล์
แล้วถามว่าท่านทำบุญมาเยอะแยะแล้ว ท่านมีความต้องการที่จะเบี้ยวเงินค่าโดยสารไม่กี่บาทนี้หรือ?
ท่านจึงถามว่า แล้วในกรณีเช่นนี้ ท่านสมควรจะทำอย่างไร?
ผมตอบว่า ท่านสมควรจะบอกกระเป๋ารถเมล์ว่า เขาต้องเก็บค่าโดยสาร และท่านต้องการจ่าย
เว้นแต่ว่า ถ้ากระเป๋ารถเมล์เขาจะจ่ายแทนให้ท่าน อย่างนี้ทำได้
แต่ไม่ใช่ว่ากระเป๋ารถเมล์เขาไม่เก็บเงินท่าน และก็ไม่มีใครจ่าย
ซึ่งเท่ากับว่ากระเป๋ารถเมล์ไม่ทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนท่านก็เบี้ยวค่าโดยสาร
และทำให้ ขสมก. หรือเจ้าของสายรถเมล์ขาดรายได้
ท่านจึงตอบว่า เข้าใจแล้ว วันหลังท่านจะจ่ายค่าโดยสารให้ถูกต้อง

ผมขออธิบายกรณีอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้นะครับ
สมมุติว่าเรามีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีให้รัฐ และเรารู้จักกับเจ้าหน้าที่สรรพากรเขตใกล้บ้าน
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่สรรพกรเขตที่รู้จักนั้นบอกเราว่า เราไม่ต้องจ่ายภาษีในปีนี้ก็ได้
เดี๋ยวเขาจะช่วยดูแลเรื่องให้เราได้ รับรองได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร
ถามว่าในเมื่อสรรพากรเขตบอกเราเช่นนั้นแล้ว เราก็จะไม่จ่ายภาษีที่ต้องจ่ายเช่นนั้นหรือ?
เจ้าหน้าที่สรรพากรเขตนั้นไม่ใช่เจ้าของเงินภาษีนะครับ
(แต่ประชาชนชาวไทยทุกคนในประเทศเป็นเจ้าของเงินภาษี)
เขาไม่มีสิทธิมายกเว้นให้เราว่า เราไม่ต้องจ่ายภาษี
ถ้าเราไม่จ่ายภาษีให้ถูกต้อง และเขาก็ไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบภาษีเราให้ถูกต้อง
กรณีก็เท่ากับว่า เราเบี้ยวเงินค่าภาษี และเขาละเลยไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองให้เหมาะสม

กรณีของคนขับแท็กซี่นี้แตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะเงินค่าโดยสารนั้นเป็นเงินของเขาเอง
แต่ถามว่าเงินค่าโดยสารที่เราจะจ่ายให้เขานี้ เขาจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
เขาอาจจะนำไปใช้เป็นค่าอาหารให้ภรรยาและลูกของเขา หรือนำไปเลี้ยงดูพ่อแม่เขา
นำไปจ่ายค่าเช่ารถแท็กซี่ที่ยังติดค้างอยู่ หรือนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ในชีวิตเขา
เวลาที่เขาพูดว่าเขาไม่เก็บค่าโดยสารเรานั้น เขาอาจจะพูดด้วยความหงุดหงิดบางอย่าง
ซึ่งเมื่อเขาหายหงุดหงิดในภายหลังแล้ว เขาอาจจะเสียดายเงินจำนวนนี้เป็นอย่างมากก็ได้
เพราะเงินจำนวนนี้อาจจะสำคัญกับเขามากในวันนั้นก็ได้
แต่เราถือเอาประโยชน์ตรงนั้นในขณะนั้นว่า เขาพูดมาเอง แล้วเราก็เลยไม่จ่าย
ทั้ง ๆ ที่เราก็ได้ประโยชน์จากการขับรถของเขามาจนใกล้จะถึงสถานที่เป้าหมายอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ตัวเธอเองก็อยู่ในสถานะที่ดีกว่า และสบายกว่าคนขับแท็กซี่
เช่นนี้แล้ว เธอยังต้องการให้คนขับแท็กซี่ขับรถมาส่งเธอฟรี ๆ อีกด้วยหรือ

ญาติธรรมท่านนี้ได้ฟังผมอธิบายพอสมควรจนถึงตรงนี้แล้ว
เธอจึงบอกว่า เห็นด้วยกับผม แต่ในเวลานั้น เธอคิดไม่ทัน
ผมแนะนำว่า ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอคิดไม่ทันหรอกนะ
เพราะความคิดคนเรานั้นสืบเนื่องมาจากใจ
เราจะคิดดีหรือคิดชั่ว คิดเมตตาหรือคิดโกรธ ก็ล้วนเริ่มมาจากใจเรา
ถ้าใจเราคุ้นเคยในเมตตากรุณา เราก็จะมุ่งคิดไปในเชิงเมตตากรุณา
ถ้าใจเราคุ้นเคยในความโกรธ เราก็จะมุ่งคิดไปในเชิงโกรธ
ถ้าใจเราคุ้นเคยในโลภและคดโกง เราก็จะมุ่งคิดไปในเชิงโลภและโกงเขา เป็นต้น
ในอันที่จริงแล้ว เธอโดนความโกรธครอบงำใจในขณะนั้น
และใจไม่ได้มุ่งที่จะเมตตากรุณาคนขับแท็กซี่ต่างหาก
กล่าวคือคุณภาพของจิตใจเธอในขณะนั้นไม่ได้มีเมตตาที่จะจ่ายค่าโดยสารให้เขา
ไม่ได้เกี่ยวกับว่าสมองของเธอคิดเหตุผลเหล่านี้ที่ผมอธิบายไม่ทัน

สังเกตว่าเราเองอาจจะเคยได้ทราบเรื่องของบางคนที่ทำชั่วบางอย่าง หรือหลายอย่าง
ถามว่าเขาทำไป เพราะเขาคิดไม่ทันหรือเปล่า เขารู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วแต่เขาไม่ทันคิดเช่นนั้นหรือ?
ตอบว่าไม่ใช่นะครับ เพราะการทำชั่วของเขาเริ่มมาจากใจ ไม่ได้เริ่มมาจากสมอง
ถ้าใจยอมรับหรือพึงพอใจในการทำชั่ว สมองก็จะคิดไปในทางที่จะทำชั่ว
แต่ถ้าใจไม่ยอมรับ และใจไม่ต้องการทำชั่วเสียแล้ว สมองก็จะไม่คิดไปในทางที่จะทำชั่ว
เช่น ใจมีความโลภเสียก่อน สมองจึงไปเริ่มคิดหาวิธีการโกงคนอื่น
ถ้าใจมีเมตตาเสียแล้ว สมองก็จะไม่ไปคิดหาวิธีการโกงคนอื่นหรอกครับ
ฉะนั้นแล้วทุกอย่างนั้นเริ่มต้นมาจากใจทั้งสิ้น

การที่เราจะพัฒนาตนเองในกรณีนี้จึงต้องมุ่งมาพัฒนาที่จิตใจตนเอง
เราจะพัฒนาจิตใจตนเองได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกที่จะเรียนรู้ใจตนเอง
ถ้าเราไม่เรียนรู้ใจตนเอง เรามัวแต่ไปดูคนอื่น เราก็จะไม่เห็นข้อเสียในใจตนเอง
เมื่อไม่เห็นข้อเสียในใจตนเอง เราก็จะไม่สามารถลดละเลิกข้อเสียดังกล่าวได้
ยกตัวอย่างเช่น กรณีญาติธรรมและคนขับแท็กซี่นั้น
หากญาติธรรมเธอมองแต่คนขับแท็กซี่ โดยไม่ได้เห็นความโกรธในใจของเธอ
เธอก็จะเห็นเพียงว่าคนขับแท็กซี่หงุดหงิด ใช้วาจาไม่ดีกับเธอ คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง
พาเธอไปส่งยังสถานที่ผิดแห่ง และไล่เธอลงจากรถ
แถมเขายังเป็นคนบอกมาเองว่าไม่คิดค่าโดยสาร โดยเธอไม่ได้ร้องขอ

แต่หากเธอมองย้อนมาดูที่ใจตนเองแล้ว เธอจะเห็นว่าความโกรธกำลังครอบงำใจเธออยู่
เมื่อทราบเช่นนี้ ความโกรธจะครอบงำใจเธอไม่ได้
หากเธอสามารถระลึกถึงเมตตากรุณา และน้อมนำเมตตากรุณามาสู่ใจเธอได้
เธอก็ย่อมจะเห็นได้ว่าคนขับแท็กซี่เขาก็ทุกข์ และน่าสงสาร
เขาหงุดหงิดก็คือทุกข์อยู่แล้ว เขายังคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง และเขาก็มีชีวิตที่ยากลำบากกว่าเรา
เขาเองก็เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏที่ต้องผจญทุกข์เช่นเดียวกับเรา
ดังนั้น เราไม่ต้องการเอารัดเอาเปรียบเขา เราต้องการช่วยเหลือเขาเท่าที่สมควร
เราก็จะเลือกที่จะจ่ายค่าโดยสารให้เขา เพื่อช่วยเหลือเขา และด้วยเมตตากรุณา

ผมเองก็เคยมีปัญหาทำนองเดียวกันนี้นะครับ
คือมีอยู่บางคราวที่ผมมีโอกาสทำบุญกุศลบางอย่าง
แล้วผมมัวลังเลหรือคิดช้าอยู่เพียง ๒ – ๓ นาที แล้วโอกาสนั้นก็ผ่านไป
ผมก็มาเสียดายภายหลังว่าผมคิดช้า และคิดไม่ทัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ผมกลับพบความจริงว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผมคิดช้า หรือคิดไม่ทัน
แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ ในเวลานั้น ใจผมเองไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะเลือกทำบุญกุศลนั้นในเวลานั้น
หรือไม่ก็ในขณะนั้นความโลภ หวง หรืองก กำลังครอบงำใจผมอยู่ แต่ไม่มีสติเร็วพอที่จะเห็น
ผมจึงมัวแต่ลังเลและคิดโน่นนี่ไปเรื่อย
จนเมื่อเวลาผ่านไปและได้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ได้เรียนรู้จิตใจตนเองไปเรื่อย
ปัญหาเหล่านี้ก็ลดน้อยลงมา โดยเมื่อมีโอกาสทำบุญกุศลอะไรที่สมควรทำแล้ว ก็จะตัดสินใจทำทันที

เชื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านก็อาจจะประสบปัญหาเดียวกันนะครับ
โดยในบางกรณี เราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำบุญกุศลบางอย่าง
หรือพลั้งเผลอไปทำบาปอกุศลบางอย่าง แล้วเราเข้าใจว่าเราคิดไม่ทัน เราคิดช้าไป
ขอแนะนำว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สมองเราคิดช้าหรือคิดไม่ทันนะครับ
แต่ปัญหาอยู่ที่ใจว่า ใจเรามีคุณภาพแค่เพียงนั้น
ใจเราไม่ได้มีคุณภาพเพียงพอที่จะมุ่งทำบุญกุศลนั้น ๆ
ใจเราไม่ได้มีคุณภาพเพียงพอที่จะละบาปอกุศลนั้น ๆ
โดยให้เราย้อนมาแก้ปัญหาที่ใจด้วยการพัฒนาใจเราเอง ด้วยการมีสติเรียนรู้ใจตนเอง
แล้วเราก็จะพ้นจากปัญหานี้ไปได้ครับ