Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๗๙

ไม่มีของหายตลอดชีวิต

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

phpMM310TAM

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ฟังเรื่องราวการสอนลูกจากญาติธรรมท่านหนึ่ง
เห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังกันนะครับ
มีอยู่วันหนึ่ง ญาติธรรมท่านนี้เห็นลูกสาว (ซึ่งเรียนอยู่ชั้นประถม) ใช้ยางลบใหม่ก้อนหนึ่ง
เขาก็ถามลูกสาวว่า “ลูกซื้อยางลบใหม่เหรอ”
ลูกสาวตอบว่า “ค่ะ”
เขาถามต่อไปว่า “ซื้อมาก้อนเดียวเหรอ”
ลูกสาวตอบว่า “ซื้อมา ๒ ก้อนค่ะ แต่ให้เพื่อนไปก้อนหนึ่ง”
เขาบอกลูกสาวว่า “ดีแล้วล่ะ รู้จักแบ่งของให้เพื่อนด้วย”

ลูกสาวเขาเงียบไปขณะหนึ่งแล้วก็เล่าให้บิดาฟังว่า
จริง ๆ แล้ว ลูกสาวไม่ได้ให้ยางลบหนึ่งก้อนแก่เพื่อนโดยตรง
โดยลูกสาวได้ซื้อยางลบมา ๒ ก้อน แล้วมัวแต่นำก้อนหนึ่งไปเล่น
และได้วางอีกก้อนหนึ่งไว้หน้าห้อง โดยลืมยางลบก้อนนั้นไว้
ต่อมา พอกลับไปหายางลบก้อนนั้นอีกที ก็ปรากฏว่าหายไปแล้ว
และก็เห็นว่ายางลบก้อนนั้นไปอยู่ที่เพื่อนคนหนึ่ง
ลูกสาวเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่ได้ไปทวงกับเพื่อนคนนั้น โดยถือว่าให้เพื่อนไปเลย

ญาติธรรมคนนั้นได้ฟังลูกสาวเล่าดังนั้นแล้ว ก็บอกกับลูกสาวว่า
ลูกต้องรู้จักดูแลรักษาของของตนเองให้ดี ไม่ควรเผลอไปลืมไว้ที่โน่นที่นี่
แต่เมื่อเผลอลืมไปแล้ว ก็ดีแล้วที่ลูกรู้จักยกให้คนอื่นไป
ซึ่งถ้าลูกรู้จักยกของที่ตนเองลืมไว้ให้คนอื่น ๆ ไปอย่างนี้แล้ว
ลูกจะไม่มีของหายเลยตลอดชีวิต (ไม่มีของหาย เพราะมีแต่ของที่ให้คนอื่น)
แต่ก็อย่างที่บอกนะว่าลูกต้องฝึกรู้จักดูแลรักษาสิ่งของนะ
ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลยแล้วก็ลืมของอยู่เรื่อย ๆ

ผมได้ฟังเรื่องเล่านี้แล้ว ก็กล่าวอนุโมทนากับญาติธรรมท่านนั้นและลูกสาวของเขา
โดยเรื่องนี้ได้สอนวิธีการให้แก่เราว่า ทำอย่างไร เราจึงจะไม่มีของหายตลอดชีวิต
กล่าวคือเมื่อลืมของ หรือของหายเมื่อไรแล้ว เราก็ทำใจยกให้คนอื่นไป
ก็กลายเป็นว่าของไม่ได้หาย แต่ว่าเราได้ให้ของนั้นแก่คนอื่น

ผมเคยมีประสบการณ์คราวหนึ่งในเรื่องทำนองเดียวกันนี้
โดยผมได้ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง
และได้ยินหลวงพ่อที่วัดประกาศว่ามีโยมคนหนึ่งได้ลืมกระเป๋าเงินไว้ในห้องน้ำ
หลวงพ่อท่านได้ขอให้คนที่เก็บกระเป๋าเงินนั้นได้ นำกระเป๋าเงินนั้นมาคืนให้เจ้าของด้วย
ซึ่งท่านได้บอกต่อไปว่า ในส่วนของเจ้าของกระเป๋าเงินนั้น ขอให้ทำใจไว้ก่อนเลยว่า
ตนเองขอถวายกระเป๋าเงินที่หายนั้นแด่พระพุทธเจ้าหรือถวายพระรัตนตรัยไปเลย
ไม่ว่าจะได้กระเป๋าเงินคืนหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดาย เพราะตนเองถวายไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นวิธีการทำนองเดียวกันนะครับว่า เราทำใจว่าถวายของหรือให้ของนั้นไปเลย
เราก็ไม่ต้องเสียใจหรือเศร้าใจว่าของนั้นหาย (ซึ่งเป็นการที่จิตใจเราเกิดอกุศล)
แต่เราจะดีใจหรือมีปีติว่าเราได้ถวายของนั้น ๆ (ซึ่งเป็นการที่จิตใจเราเกิดกุศล)

เรื่องของหาย และยกของให้คนอื่นนี้ เรานำมาใช้ได้กับกรณีที่เราโดนโกงก็ได้นะครับ
โดยหากเราโดนคนอื่นโกงหรือหลอกลวงนำเงินทองหรือทรัพย์สินไปนั้น
เราก็พึงถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญ และพึงระมัดระวัง เพื่อที่วันหลังเราจะไม่โดนโกงอีก
แต่ในส่วนของเงินทองหรือทรัพย์สินที่เราโดนโกงไปแล้ว และไม่สามารถติดตามคืนมาได้แล้ว
เราก็สามารถทำใจได้นะครับว่า เรายกให้เขาไปเลย
โดยไม่ต้องมาคิดแค้นหรือจำฝังใจว่าเงินทองหรือทรัพย์สินเหล่านั้นโดนโกงไป
เพราะการคิดแค้นหรือจำฝังใจเช่นนั้นก็มีแต่ทำให้ทุกข์ และเกิดอกุศลจิตในใจเราเอง
แต่หากเราทำใจได้ว่าเรายกให้เขาไป ไม่มีอะไรที่แค้น ไม่มีอะไรที่จำฝังใจ
ใจเราก็ไม่ต้องไปแค้น ไปจำ หรือไปแบกเรื่องอกุศลนั้นไว้
(ส่วนเรื่องที่จำไว้เป็นบทเรียนที่จะพึงระมัดระวังนั้นก็ต้องจำไว้ครับ แต่ก็ไม่ต้องไปแค้นเขา)

ในส่วนที่กล่าวไปแล้วนั้นเป็นเรื่องของการทำใจ โดยการยกให้คนอื่น ซึ่งก็เป็นวิธีการหนึ่ง
ผมขอแนะนำอีกวิธีการหนึ่ง คือเราฝึกภาวนาให้เห็นความจริงว่า
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่เราเห็นว่าเป็นของเรานั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นธาตุของโลก
สิ่งของในส่วนของรูปธรรมที่บอกว่าเป็นของเรานั้นก็ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุเหล่านี้มีอยู่ก่อนเราเกิดมาในโลก เมื่อเราตายไป เราก็เอาไปไม่ได้ ธาตุก็คงอยู่ในโลก
ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราก็เพียงหยิบยืมธาตุเหล่านี้มาใช้ชั่วคราว
แต่โดยสภาพของธาตุเหล่านี้ก็ยังคงเป็นธาตุของโลก และคงอยู่ในโลก
ฉะนั้นเมื่อสิ่งของบางอย่างของเราหายไป และไม่สามารถติดตามกลับคืนมาได้นั้น
เราย่อมเห็นตามจริงได้ว่า สิ่งของนั้นมันก็ไม่ได้เป็นของเราแต่แรกอยู่แล้ว
สิ่งของนั้นเป็นธาตุของโลกมาแต่เดิม และได้ย้ายไปจากเรา ไปอยู่ที่อื่นในโลกก็เท่านั้น
เปรียบเสมือนว่าลมในโลกพัดจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง พัดผ่านตัวเราไป
ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ธาตุต่าง ๆ ในโลกจะมีการเคลื่อนย้ายไปในที่ต่าง ๆ
หากเราเห็นตามจริงในลักษณะนี้แล้ว ก็ย่อมจะเห็นได้ว่า เราไม่มีของหายเช่นกัน

ในกรณีที่เราโดนคนอื่นโกงเงินทองหรือทรัพย์สินต่าง ๆ
และไม่สามารถติดตามทวงคืนมาได้แล้วนั้น
เราก็สามารถพิจารณาเห็นตามจริงได้ในทำนองเดียวกันนะครับว่า
เงินทองหรือทรัพย์สินต่าง ๆ นั้นก็ถือเป็นธาตุของโลก
ธาตุเหล่านั้นจะเคลื่อนย้ายจากเราไปอยู่ที่อื่นในโลกก็เป็นธรรมดา
หากเราสามารถพิจารณาเห็นตามจริงได้เช่นนี้แล้ว
เราก็จะไม่ต้องทุกข์ใจว่าเงินทองหรือทรัพย์สินเหล่านั้นโดนโกงไป
และการพิจารณาเห็นเช่นนี้ ยังเป็นการสนับสนุนให้ใจคุ้นเคยกับความจริงว่า
สิ่งของทั้งหลายในโลกที่เป็นรูปธรรมนี้ก็เป็นธาตุของโลก มันไม่ใช่ของเรา

ย้ำอีกทีนะครับว่า เราไม่ได้ฝึกตนเองให้ลืมของ หรือปล่อยตนเองให้โดนโกงไปเรื่อย
ในทางกลับกัน เราพึงฝึกดูแลรักษาสิ่งของต่าง ๆ ให้ดี ไม่ปล่อยปละไปลืมไว้
และพึงระมัดระวังไม่ให้ตนเองไปโดนคนอื่นเขาโกงนะครับ
แต่หากเราลืมของไปแล้ว หรือว่าโดนโกงไปแล้ว และก็ติดตามของเหล่านั้นกลับมาไม่ได้แล้ว
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งเสียใจ หรือขุ่นแค้นพยาบาทเขา
(มีแต่จะทำให้เครียดเสียสุขภาพตนเอง และเสียเวลาเปล่า ๆ)
เราก็พึงเลือกที่จะทำใจ หรือฝึกเห็นตามจริงในเรื่องนั้น ๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองนะครับ
เช่น ทำใจว่ายกให้คนอื่นไปก็ได้ หรือพิจารณาเห็นตามจริงว่าเป็นธาตุของโลกก็ได้
ดังที่ได้กล่าวอธิบายไปแล้วข้างต้น ทางไหนก็ได้ที่ถูกจริตกับเราเอง

นอกจากนี้แล้ว อีกวิธีหนึ่ง เราอาจจะถือว่าของเราหาย หรือถือว่าเราโดนโกง
แต่เราก็หมั่นภาวนาดูกายและใจตามความเป็นจริงไปเรื่อย ๆ
เพื่อให้เห็นตามจริงว่ากายและใจเรานี้ตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์
(ได้แก่ อนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง คือทนอยู่ไม่ได้ และอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน)
และเมื่อไรที่ใจเราเผลอไปคิดเรื่องของหาย
เช่น เสียใจว่าของหาย หรือเสียดายของที่หาย ฯลฯ ก็ให้เรามีสติรู้ทันใจที่เผลอไป
หรือเมื่อไรที่ใจเราเผลอไปคิดเรื่องโดนโกง
เช่น เสียใจ หรืออับอาย หรือโกรธว่าโดนโกง หรือเสียดายของที่ถูกโกงไป
หรือโกรธแค้นคนที่โกงเรา ฯลฯ ก็ให้เรามีสติรู้ทันใจที่เผลอไป
ฝึกรู้ทันใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีสติ มีใจตั้งมั่น เกิดปัญญาเห็นความจริงว่า
กายและใจของเรานี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเราที่เราจะไปยึดถือเอาได้
เมื่อเห็นตามจริงเช่นนั้นแล้วว่า ไม่มีตัวเราแล้ว ก็ย่อมจะไม่มีของเราหายเช่นกัน
กล่าวโดยง่ายคือ เมื่อไม่มี “ตัวกู” แล้ว ก็ย่อมไม่มี “ของกู”
และเมื่อไม่มี “ของกู” แล้ว ก็ย่อมไม่มี “ของกูหาย” นะครับ