Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๗๑

เมื่อสัตว์เลี้ยงป่วยใกล้ตาย

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

phpTo59zaPM

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมได้พบญาติธรรมท่านหนึ่งกำลังนั่งน้ำตาไหลพราก 

ผมถามว่าเธอร้องไห้ทำไม?
ก็ได้รับคำตอบว่าสุนัขซึ่งกำลังป่วยอยู่ของเธอนั้นเพิ่งถึงแก่ความตาย
เธอจึงนั่งน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจและอาลัยถึงสุนัขตัวนั้น
ผมเองจึงได้อธิบายให้เธอฟังว่า การร้องไห้ของเธอนั้นไม่ได้ช่วยสุนัขเธอเลย
แต่กลับจะเสียประโยชน์แก่ตัวเธอเอง และสุนัขของเธอ
โดยเธอควรพิจารณาว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเธอเองและสุนัขของเธอ

ปัญหาเรื่องสัตว์เลี้ยงป่วยใกล้ตาย หรือสัตว์เลี้ยงถึงแก่ความตายนี้
เป็นปัญหาที่หลาย ๆ ท่านที่เลี้ยงสัตว์อาจจะได้ประสบเช่นกันนะครับ
ถามว่าทำอย่างไรเราจึงจะไม่ต้องเสียใจเมื่อสัตว์เลี้ยงตายลง?
ตอบว่า ที่จะไม่ต้องเสียใจในกรณีดังกล่าวแน่ ๆ ก็คือเราไม่มีสัตว์เลี้ยงตั้งแต่แรกเลย
แต่ถ้าเราได้มีสัตว์เลี้ยงแล้ว เราก็ควรจะเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีตามที่สมควร
ซึ่งเมื่อเราได้เลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีตามที่สมควรแล้ว
(รวมทั้งเมื่อมันเกิดเจ็บป่วยใด ๆ เราก็ทำการดูแลรักษามันตามสมควร)
เราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดในภายหลังว่าเราบกพร่องในประการใด ๆ ในการเลี้ยงดูมันนะครับ

ทีนี้ ถ้าสัตว์เลี้ยงเกิดเจ็บป่วยใกล้ตาย หรือชรามากจนใกล้ตายแล้ว
ถามว่าเราจะช่วยเหลือมันอย่างไรได้อีกบ้าง?
ตอบว่า เราสามารถช่วยให้มันจากไปได้อย่างสงบครับ
โดยในกรณีดังกล่าวนี้ ผมนึกถึง ๒ เรื่อง
เรื่องแรกคือ เรื่องค้างคาวระลึกเสียงท่องอภิธรรมเป็นอารมณ์แล้วได้ไปบังเกิดในเทวโลก
และเรื่องที่สองคือ เรื่องกบมีจิตเลื่อมใสในธรรมเทศนาแล้วได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร

ในเรื่องแรกนั้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป
มีค้างคาวกลุ่มหนึ่งห้อยอยู่ที่เงื้อมในถ้ำแห่งหนึ่ง
โดยในถ้ำแห่งนั้นมีพระเถระ ๒ รูปเดินจงกรมแล้วท่องอภิธรรมอยู่
ค้างคาวเหล่านั้นได้ฟังถือเอานิมิตในเสียงท่องอภิธรรมแล้ว
ค้างคาวเหล่านั้นไม่รู้ว่า "เหล่านี้ ชื่อว่าขันธ์, เหล่านี้ ชื่อว่าธาตุ"
ด้วยเหตุสักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น
(กล่าวคือฟังภาษาไม่เข้าใจนะครับ แต่จิตใจสงบเนื่องจากถือนิมิตในเสียง)
ค้างคาวเหล่านั้นตกลงมาตาย และได้ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอยู่จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=24&p=2

ในเรื่องที่สองเป็นเรื่องของมัณฑุกเทพบุตร
ซึ่งมัณฑุกเทพบุตรได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้กราบทูลว่า
เมื่อชาติก่อน ตนเองนั้นเป็นกบเที่ยวหาอาหารอยู่ในน้ำ
โดยขณะที่ตนเองกำลังฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า และมีจิตเลื่อมใสอยู่ครู่หนึ่ง
ในขณะนั้นเอง คนเลี้ยงโคได้ฆ่าตนเอง (กบ) ถึงแก่ความตายลง
หลังจากนั้นตนเองได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก
มัณฑุกเทพบุตรกราบทูลต่อไปว่า ตนเองเป็นกบและเพียงมีจิตเลื่อมใสครู่หนึ่งเท่านั้น
ก็ยังได้ทิพยสมบัติถึงเพียงนี้ หากผู้ใดได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิ้นกาลนานแล้ว
ผู้นั้นพึงได้บรรลุนิพพานอันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=1803&Z=1816

ดังนี้แล้ว หากสัตว์เลี้ยงของเราป่วยใกล้ตาย หรือชราใกล้ตายแล้ว
สิ่งที่ผมแนะนำให้ทำก็คือ แนะนำให้เปิดเสียงสวดมนต์ให้มันฟังนะครับ
ถ้าเราสามารถเปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมงได้ก็จะช่วยมันได้มาก
เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะจากไปตอนไหน (แต่ก็จะเปลืองไฟฟ้าพอสมควรนะครับ)
ถามว่ามันฟังเสียงสวดมนต์รู้เรื่องหรือ?
ตอบว่า มันฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่ว่ามันถือนิมิตในเสียงเป็นอารมณ์ได้
ซึ่งย่อมจะช่วยให้มันจากไปได้ด้วยจิตใจสงบอันเป็นบุญกุศล

อีกประการหนึ่งก็คือ ให้เจ้าของนั้นคุยกับมันดี ๆ เพื่อให้มันจากไปโดยสงบ
ผมเคยได้ฟังมาหลายกรณีแล้วที่ว่า สุนัขที่เลี้ยงอาจจะไม่ยอมตาย โดยยังรอเจ้าของอยู่
เช่นว่าเจ้าของเดินทางไปต่างจังหวัด เป็นต้น มันก็รอจนเจ้าของกลับมาก่อนแล้วค่อยตาย
ทีนี้ เพื่อให้มันไปได้อย่างสงบ จึงแนะนำให้เจ้าของบอกมันดี ๆ
ทำนองว่าให้มันจากไปโดยไม่ต้องกังวลหรือเป็นห่วงอะไร และให้มันไปด้วยดี
ถามว่ามันจะฟังรู้เรื่องเหรอ?
อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อและศรัทธาของแต่ละท่านนะครับ
มันอาจจะฟังภาษาคนไม่ออก แต่ผมเห็นว่ามันอาจจะรู้สึกและรับการสื่อสารได้นะครับ
เปรียบเทียบกับว่าเวลาที่สุนัขเห่าเตือนเจ้าของเวลามีภัยอันตรายเข้ามาในบ้าน
กับเวลาที่สุนัขเห่าเพราะต้อนรับคนรู้จักนั้น เสียงมันไม่เหมือนกัน
ในบางทีเจ้าของบางท่านก็ฟังเสียงสุนัขออกนะครับ
โดยเจ้าของนั้นฟังภาษาสุนัขไม่ออกหรอกครับ แต่พอจะเข้าใจได้ว่ามันจะสื่อสารอะไร

ทีนี้ เมื่อสัตว์เลี้ยงตายจากไปแล้ว
การมานั่งร้องไห้เสียใจถึงมันนั้นไม่ได้ช่วยอะไรแก่มันได้เลยครับ
และก็เสียประโยชน์ตัวเราเองด้วย โดยเสียเวลา เสียกำลังงาน และทำให้จิตใจเศร้าหมอง
สิ่งที่เราควรจะทำนั้นก็คือ ควรจะสร้างบุญกุศลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่มัน
โดยอาจจะเป็นการทำทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาก็ได้
เราสร้างบุญกุศลเสร็จแล้ว ก็อุทิศให้มันไปเรื่อย ๆ
อันนี้ก็ย่อมจะได้ประโยชน์แก่ทั้งตนเอง และสัตว์เลี้ยงที่ตายไปแล้ว
(และย่อมเป็นประโยชน์แก่คนรอบข้างทั้งหลายของเราด้วย)

อีกอย่างหนึ่งคือ เราพึงนำการตายของสัตว์เลี้ยงนั้นมาเจริญมรณานุสติ
พึงระลึกว่าบุคคลอื่น ๆ และสัตว์ต่าง ๆ นั้นก็ย่อมตายได้ตลอดเวลา
เราพึงรักษาศีล โดยไม่ไปเบียดเบียนบุคคลอื่น ๆ และสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้น
นอกจากนี้ ตัวเราเองก็ย่อมจะตายได้ตลอดเวลา
เราพึงศึกษาและปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เพื่อถึงพร้อมในความไม่ประมาทครับ