Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๖๓

ดีใจที่โดนโกง

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 


dharmajaree-163

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีญาติธรรมท่านหนึ่งโทรศัพท์มาเล่าว่า
ในปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมานี้ เธอโดนเพื่อนคนหนึ่งโกงเงินไปเยอะเลย
ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนที่เธอคบมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่เรียนหนังสือสมัยเด็ก ๆ
หลังจากที่ทราบว่าโดนเพื่อนคนนี้โกงเงินแล้ว
เธอร้องไห้เสียใจมากมายยิ่งกว่าโดนแฟนเลิกแล้วต้องอกหักเสียอีก
เหตุเพราะว่าเธอคบกับแฟนเพียงไม่กี่ปี แต่เพื่อนคนนี้คบกันมานานมาก
ซึ่งเวลามีปัญหาอะไรก็ช่วยกันมาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อนคนนี้จะโกงเธอได้

หลังจากที่ได้ร้องไห้เสียใจอยู่หลายเดือนแล้ว
เธอก็เริ่มหันมาสนใจธรรมะมากขึ้น เริ่มสวดมนต์สม่ำเสมอมากขึ้น
เริ่มตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ เริ่มไปเข้าอบรมปฏิบัติธรรมที่วัดต่าง ๆ
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เธอก็เริ่มรู้สึกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี่เป็นของจริง
เช่นพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนในมงคลสูตรข้อ ๑ ว่า อย่าคบคนพาล

เธอลองย้อนกลับไปพิจารณาแล้วก็พบว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีหรอก
เพื่อนคนนี้ได้ทำเรื่องไม่ดีกับคนอื่นไว้ไม่น้อย และเบียดเบียนคนอื่นไว้ไม่น้อยเลย
โดยเธอต้องคอยพยายามเตือนและห้ามปรามเพื่อนคนนี้ว่าอย่าไปทำอย่างนั้นเลย
อย่าไปทำอย่างนี้เลย ควรจะลด ละ เลิกสิ่งไม่ดีเหล่าโน้นเป็นต้น
ซึ่งแม้ว่าเพื่อนคนนี้จะทำสิ่งไม่ดีกับคนอื่น ๆ ไว้หลายคน
แต่ก็เป็นที่น่าแปลกว่า เธอกลับไม่เคยเฉลียวใจหรือเอะใจว่า
ในวันหนึ่ง เพื่อนคนนี้ก็จะทำกับเธอได้เช่นกัน เธอไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย
จนมาประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง และเริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจังแล้ว
เธอก็เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความบกพร่องของเธอเองที่ไปคบคนไม่ดีอยู่ตั้งนาน
แถมก็ยังไปไว้ใจฝากเพื่อนไม่ดีคนนี้ให้ดูแลเงินของเธออีก
กล่าวคือเป็นความบกพร่องของเธอเองที่ไปคบกับคนพาล และไปไว้ใจคนพาล
เธอเริ่มเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนนี้เป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นจริงกับเธอ
เธอจึงได้สนใจที่จะขวนขวายศึกษาและปฏิบัติธรรมมากยิ่งขึ้น


ผมกล่าวเสริมว่า ในเรื่องนี้ก็คงจะมีเรื่องกฎแห่งกรรมด้วยว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนี้เป็นกรรมเก่าของเธอด้วย
โดยกรรมเก่าใกล้ ๆ ที่เห็นได้ขณะนี้ก็คือ การที่เธอคบเพื่อนไม่ดีนี่แหละ
และก็อาจจะมีกรรมเก่าอื่น ๆ ด้วยที่เธออาจจะเคยไปเอาของคนอื่นเขามาในอดีต
ซึ่งเราก็คงไม่ทราบได้ แต่ในเมื่อเธอเองก็เชื่อว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
ดังนั้น ในอีกมุมหนึ่ง เธอก็คิดเสียว่าเธอได้คืนของเขาไปก็แล้วกัน

เธอบอกว่า ใช่เลย ในช่วงนี้เธอก็อธิษฐานว่าขอให้กรรมเก่า ๆ ไม่ดีทั้งหลายมาให้หมด
เพื่อเธอจะได้ชดใช้กรรมไม่ดีเหล่านั้นให้หมด แล้วจะได้หมดเวรหมดกรรมไม่ดีเสียที
ผมรีบบอกว่า อย่าไปอธิษฐานอย่างนั้น เพราะว่าสังสารวัฏนี้มันยาวนานจนหาจุดเริ่มไม่เจอ
เราไม่รู้หรอกว่าเราเคยทำกรรมไม่ดีไว้มากมายมหาศาลขนาดไหน
ถ้าเกิดว่ามันมาพร้อมกันหมดล่ะก็เราคงรับไม่ไหวหรอก
ในขณะเดียวกัน เราไม่มีทางจะชดใช้กรรมไม่ดีทั้งหมดได้
เพราะระหว่างที่เราใช้กรรมไม่ดีเก่า ๆ นี้ เราก็ยังสร้างกรรมไม่ดีใหม่ ๆ อีกด้วย มันจึงไม่หมด
ฉะนั้นวิธีการที่พึงทำก็คือต้องบรรลุธรรม เพื่อจะอยู่เหนือกรรม และออกจากสังสารวัฏนี้ไปเลย

เธอฟังตรงนี้แล้วบอกว่าเข้าใจ จากนั้น ก็คุยเรื่องเธอไปปฏิบัติธรรมที่วัดโน้นวัดนี้
และก็เล่าธรรมะที่เธอได้ไปอ่านมาจากคำสอนของครูบาอาจารย์หลายท่านให้ผมฟัง
ผมฟังเธอเล่าแล้ว ก็ถามเธอว่า ถ้าเธอได้เจอกับเพื่อนคนนี้อีกจะทำอย่างไร
เธอตอบว่าเธอไม่ได้โกรธเพื่อนคนนี้แล้ว แต่ก็คงจะพยายามห่าง ๆ จากเพื่อนคนนี้
เพราะว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่เธอก็ดีใจอย่างหนึ่งว่า เธอได้มารู้ตัวในเวลานี้
ซึ่งแม้จะต้องเสียเงินไปมากมาย แต่เธอก็ยังสามารถทำมาหาเลี้ยงตนเองได้อยู่
ดีกว่าที่เธอไม่รู้ และไปโดนโกงในอนาคตในยามที่เธอไม่มีแรงหาเลี้ยงชีวิตตนเองแล้ว
ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะช่วยให้เธอได้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ผมแนะนำว่า ดีแล้วล่ะที่เธอไม่โกรธเพื่อนคนนี้แล้ว
เพราะจริง ๆ แล้ว เธอน่าจะต้องดีใจเสียอีกที่เพื่อนคนนี้ได้โกงเธอ
แล้วทำให้เธอได้หันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมะ
โดยแม้ว่าเธอจะต้องเสียเงินไปมากมาย แต่ว่าเธอกลับได้ธรรมะ ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ เลย
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต และพึงสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม
แต่ว่าคนจำนวนมากในโลก กลับเลือกที่จะสละธรรมะ เพื่อแลกกับทรัพย์
แต่สำหรับเธอนี้ เธอได้มีโอกาสสละทรัพย์ แล้วได้มาซึ่งธรรมะ ซึ่งคุ้มค่ามาก ๆ

เธอฟังแล้ว เธอก็บอกว่าจริงด้วยนะ คนจำนวนมากในโลกนี้ยอมทิ้งธรรมะ เพื่อแลกกับทรัพย์
และเมื่อเธอลองมองย้อนกลับไปแล้ว เธอรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่โดนเพื่อนคนนี้โกง
แล้วทำให้เธอได้มีโอกาสมาเรียนรู้ธรรมะในเวลานี้
เธอได้เห็นแล้วว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามีคุณค่ามากกว่าทรัพย์ใด ๆ ทั้งหลาย

เรื่องที่ผมเล่ามานี้ เป็นเรื่องของญาติธรรมท่านหนึ่งที่โดนโกงนะครับ
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องร้องไห้เสียใจอยู่หลายเดือน
แต่ปรากฏว่าเธอเปลี่ยนวิกฤติที่ต้องร้องไห้เสียใจนั้น ให้เป็นโอกาสที่ดีสุดในชีวิต
โดยเธอได้นำพาชีวิตตนเองไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรา ๆ ทุกท่านเองก็ย่อมจะได้มีโอกาสที่ต้องประสบกับวิกฤติในชีวิตตนเองเช่นกัน
เรามีทางเลือกว่า เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราเมื่อได้ประสบวิกฤตินั้นแล้ว
บางคนแก้ไขปัญหาชีวิต โดยยิ่งไปสร้างบาปอกุศลกรรมหนักมากยิ่งขึ้น
บางคนเรียนรู้ความจริงของชีวิตจากวิกฤตินั้น เรียนรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นที่พึ่งไม่ได้จริง
มีเพียงพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ปลอดภัยให้แก่ตนเอง ฯลฯ
ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่แต่ละท่านที่จะเลือกทางเดินแก่ชีวิตตนเอง

ทั้งนี้ ก็อาจจะมีหลายท่านที่ยังไม่ได้ประสบวิกฤติร้ายแรงในชีวิตก็ตามที
คำถามคือว่า เราจะต้องรอให้ประสบวิกฤติร้ายแรงในชีวิตเราเสียก่อนหรือเปล่า
จึงจะทำให้เราเกิดความสนใจใส่ใจที่จะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอน
จึงจะทำให้เราเข้าใจว่าธรรมะสำคัญกว่าชีวิต สำคัญกว่าอวัยวะ และสำคัญกว่าทรัพย์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงสอนใน “ปโตทสูตร”
โดยเปรียบเทียบบุรุษอาชาไนยเหมือนกับม้าอาชาไนย ๔ กลุ่ม คือ
ม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๑ เมื่อเห็นเงาของปฏัก (หอกแหลม) ก็สลด ถึงความสังเวช
ม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๒ เมื่อเห็นเงาของปฏักแล้ว ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แต่เมื่อถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขน จึงสลด ถึงความสังเวช
ม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๓ เมื่อเห็นเงาของปฏักแล้ว ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แม้ถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขนแล้ว ก็ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แต่เมื่อถูกแทงด้วยปฏักถึงผิวหนังแล้ว จึงสลด ถึงความสังเวช
ม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๔ เมื่อเห็นเงาของปฏักแล้ว ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แม้ถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขนแล้ว ก็ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แม้ถูกแทงด้วยปฏักถึงผิวหนังแล้ว ก็ยังไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แต่เมื่อถูกแทงด้วยปฏักถึงกระดูกแล้ว จึงสลด ถึงความสังเวช

เมื่อเทียบกับบุรุษอาชาไนยแล้ว ก็จะแบ่งออกได้เป็น ๔ กลุ่มคือ
บุรุษอาชาไนยกลุ่มที่ ๑ ได้ฟังว่าในบ้านหรือนิคมโน้นมีหญิงหรือชายถึงความทุกข์
หรือถึงแก่ความตายแล้ว เขาย่อมสลด ถึงความสังเวช เพราะเหตุนั้นเขาเริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว มุ่งกระทำให้เห็นแจ้งตลอดด้วยปัญญา ซึ่งธรรมะ
โดยบุรุษอาชาไนยกลุ่มนี้ เปรียบได้เหมือนกับม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๑

บุรุษอาชาไนยกลุ่มที่ ๒ ได้เห็นหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือถึงแก่ความตายแล้ว
เขาย่อมสลด ถึงความสังเวช เพราะเหตุนั้นเขาเริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว มุ่งกระทำให้เห็นแจ้งตลอดด้วยปัญญา ซึ่งธรรมะ
โดยบุรุษอาชาไนยกลุ่มนี้ เปรียบได้เหมือนกับม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๒

บุรุษอาชาไนยกลุ่มที่ ๓ พบว่าญาติของเขาถึงความทุกข์ หรือถึงแก่ความตายแล้ว
เขาย่อมสลด ถึงความสังเวช เพราะเหตุนั้นเขาเริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว มุ่งกระทำให้เห็นแจ้งตลอดด้วยปัญญา ซึ่งธรรมะ
โดยบุรุษอาชาไนยกลุ่มนี้ เปรียบได้เหมือนกับม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๓

บุรุษอาชาไนยกลุ่มที่ ๔ นั้น ได้ประสบทุกขเวทนาที่ร้ายแรงเจียนตายแก่ตนเอง
เขาย่อมสลด ถึงความสังเวช เพราะเหตุนั้นเขาเริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว มุ่งกระทำให้เห็นแจ้งตลอดด้วยปัญญา ซึ่งธรรมะ
โดยบุรุษอาชาไนยกลุ่มนี้ เปรียบได้เหมือนกับม้าอาชาไนยกลุ่มที่ ๔

(ที่มา : ปโตทสูตร)

พวกเราแต่ละคนก็มีสิทธิที่จะเลือกได้นะครับว่า เราต้องการที่จะอยู่ในกลุ่มไหน
ในชีวิตของเราก็ย่อมจะเคยได้ฟังเรื่องราวที่คนอื่นถึงความทุกข์ หรือถึงแก่ความตาย
ย่อมจะเคยได้เห็นคนอื่นถึงความทุกข์ หรือถึงแก่ความตาย
ย่อมจะเคยมีญาติพี่น้องที่ถึงความทุกข์ หรือถึงแก่ความตาย
เราจำเป็นจะต้องรอให้ตัวเราถึงแก่ทุกขเวทนาที่ร้ายแรงเจียนตายด้วยตนเองด้วยหรือไม่
จึงจะถึงความสลดและถึงความสังเวชในชีวิต แล้วเริ่มตั้งความเพียร เพื่อธรรมะได้