Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๕๒

ทำยังไง ไปอยู่ไหน

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-152

มีใครที่รู้สึกว่าตนเองแก่ (ชรา) หรือตนเองเริ่มจะแก่แล้วบ้างครับ

ถามว่าพิจารณายังไงถึงจะบอกได้ว่าเริ่มแก่แล้ว ดูจากอายุอย่างนั้นหรือ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าเพียงอายุนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเริ่มแก่
เพราะความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
ผมรู้จักญาติธรรมท่านหนึ่งที่เมื่ออายุ ๗๐ ต้น ๆ ก็บ่นว่าตนเองเริ่มจะแก่แล้ว
(ก่อนหน้านั้นไม่เคยบ่นว่าตนเองเริ่มแก่ และไม่พอใจด้วยหากมีใครไปบอกว่าแก่)
สำหรับผมเองพออายุ ๓๐ ต้น ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มแก่แล้ว

ทำไมรู้สึกเช่นนั้น ก็เพราะตนเองรู้สึกว่าเริ่มจะทำอะไรได้ไม่เหมือนสมัยอายุ ๒๐ กว่า ๆ
สมัย ๒๐ กว่า ๆ นั้นความจำแม่น ทำอะไรรวดเร็ว แข็งแรง ไม่หลับไม่นอนก็อยู่ได้สบาย ๆ
พอก้าวย่างเข้า ๓๐ ต้น ๆ แล้ว ชักจะจำไม่แม่น เริ่มมีหลงลืม ทำอะไรช้าลง
ไม่ได้อึดเหมือนก่อน และพออดหลับอดนอนแล้ว ร่างกายก็ชักจะไม่ไหว
เมื่อเห็นความแตกต่างในร่างกายตนเองเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มจะแก่แล้ว
ฉะนั้นแล้ว ผมเห็นว่าความรู้สึกส่วนตัวของเราแต่ละคนเป็นตัวชี้วัด
ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเริ่มแก่ โดยแต่ละคนแตกต่างกันไป
โดยท่านที่ไม่ชอบแก่ ไม่ยอมรับว่าแก่ ก็อาจจะใช้เวลานานกว่า และอายุมากกว่า

เมื่อได้มาศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ทำให้เข้าใจและยอมรับว่า
จริง ๆ แล้ว คนเราทุกคนนั้นแก่ลงตลอดเวลา
เวลาทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปก็เปรียบได้กับเทียนไขที่โดนไฟเผาให้หดสั้นลงไปเรื่อย ๆ
และเปรียบได้กับการนับถอยหลัง เพื่อไปสู่ความตาย ก็ได้เห็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จึงได้พยายามใช้เวลาชีวิตเราให้เป็นประโยชน์คุ้มค่าที่สุด

มีญาติธรรมบางท่านที่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ
ได้เห็นคนรอบข้างตายไปเรื่อย ๆ ทีละคน ๆ เหลือกันอยู่ไม่กี่คน
ก็ชักจะเริ่มกังวลใจแล้วว่า เมื่อตนเองแก่ชราแล้วจะทำยังไง จะไปอยู่ที่ไหน
ใครจะมาดูแลยามเจ็บป่วย ใครจะพาไปทำบุญ ใครจะพาไปวัดปฏิบัติธรรม
ใครจะมาจัดงานศพให้เมื่อยามเราเสียชีวิตแล้ว
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย อายุยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้น
ว่าจะต้องรีบเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อม ต้องเตรียมเงินทองไว้ยามเกษียณ
ต้องเตรียมความพร้อมว่าจะไปอยู่ที่ไหน มีสถานที่ไหนที่มีเพื่อนปฏิบัติธรรมช่วยดูแลกัน
หรือจะไปอยู่ที่วัดไหน หรือสถานปฏิบัติธรรมแห่งไหน ซึ่งจะมีญาติธรรมช่วยดูแลกัน
กังวลใจว่าต้องเตรียมพร้อมให้มาก หากเงินทองไม่พอแล้ว ก็จะลำบากมาก

ญาติธรรมบางท่านที่มีบุตรหลานก็อาจมีคำตอบว่า จะให้บุตรหลานดูแลตนเอง
แต่ก็ไม่ควรประมาท โดยเราพึงต้องสั่งสอนบุตรหลานให้เป็นคนดี และกตัญญูนะครับ
เราจะสั่งสอนบุตรหลานให้เป็นคนดีและกตัญญูได้ก็ต่อเมื่อ
ตัวเราเองต้องเป็นคนดี และกตัญญูเสียก่อน
หากเราเป็นคนไม่ดี ไม่กตัญญู ทำตัวอย่างไม่ดี ก็คงยากที่เราจะสอนบุตรหลานให้ดีได้
ถึงเราจะสอนอย่างนั้น ก็คงยากที่บุตรหลานจะเชื่อตาม
ในขณะที่สังคมปัจจุบันนี้ มีสิ่งยั่วกิเลสและลากพาทุกคนไปในทางที่ไม่ดีเยอะเหลือเกิน
หากบุตรหลานเป็นคนไม่ดีแล้ว แทนที่เขาจะดูแลเรา แต่เขากลับจะสร้างปัญหาให้เรา
แต่ถึงแม้ว่าเราจะสอนบุตรหลานให้เป็นคนดีและกตัญญูแล้วก็ตาม
ก็ไม่ควรประมาทอีก เพราะก็ไม่แน่นอนว่าใครจะตายก่อนใคร
บุตรหลานที่ตายก่อนพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็มีอยู่ไม่น้อย
เขาอาจจะจากไปก่อนเราก็ได้ บุตรหลานจึงไม่ใช่สิ่งแน่นอนที่เราจะฝากชีวิตไว้ได้

หันไปมองรอบ ๆ บางท่านก็มีคู่ครองอยู่ ก็สงสัยว่าจะฝากชีวิตไว้ที่คู่ครองเราได้ไหม
คู่ครองเราที่ดีกับเราอยู่ในวันนี้ อาจจะทำไม่ดีกับเราในอนาคตก็ได้
กรณีตัวอย่างของคนอื่น ๆ ก็มีให้เห็นไม่น้อย (ตัวอย่างที่ดี ๆ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน)
แต่ที่สำคัญคือเขาเองก็อาจจะเจ็บป่วยหนัก หรืออาจจะตายก่อนเราก็ได้
แทนที่เขาจะดูแลเรา แต่เราอาจจะต้องดูแลเขาก็ได้
คู่ครองเราจึงไม่ใช่สิ่งแน่นอนที่เราจะฝากชีวิตไว้ได้เช่นกัน

เราจะฝากชีวิตไว้ที่บ้านเรือน หรือทรัพย์สิน หรือสถานที่ได้ไหม
พิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งแน่นอนหรือมั่นคงที่จะให้เราฝากชีวิตไว้ได้จริง
สมมุติว่าเรามีบ้านเรือนอยู่อาศัย แต่วันดีคืนดีก็อาจจะน้ำท่วมและพังเสียหายบุบสลาย
สมมุติว่าเราพักอยู่ในอาคารชุดสูง ๆ มั่นคงแข็งแรงน้ำไม่ท่วม
แต่หากมีแผ่นดินไหวแรง ๆ อาคารชุดนั้นก็อาจจะพังเสียหายบุบสลายได้
เรามีเงินเก็บสะสมไว้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็อาจจะโดนมิจฉาชีพปล้นหรือหลอกเอาไปก็ได้
ซึ่งก็มีข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศนะครับ
ถึงกรณีที่คนแก่ชราโดนกลุ่มมิจฉาชีพมาปล้นหรือหลอกลวงนำเงินเก็บไปทั้งหมด
หรือหากเศรษฐกิจทรุดหนัก ธนาคารก็อาจจะล้มละลาย และไม่มีเงินคืนเราครบถ้วนก็ได้

การวางแผนล่วงหน้าหลาย ๆ ปี หรือเป็นสิบ ๆ ปีนั้น โอกาสคลาดเคลื่อนสูงมาก
บางทีเราเห็นว่าสถานที่ตรงนั้นดี พอเราแก่แล้ว เราจะไปอยู่ในสถานที่นั้น
แต่พอถึงเวลานั้นแล้ว อาจจะไม่ดีก็ได้ หรือสถานที่นั้นอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้
อาจจะมีน้ำท่วม อาจจะมีมิจฉาชีพเยอะ อาจจะมีคนอยู่เต็มจนรองรับเราไม่ได้
อย่างเช่นบางท่านคิดว่า พอแก่แล้ว จะไปอยู่อาศัยที่วัด หรือสถานปฏิบัติธรรมบางแห่ง
ซึ่งก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีนะครับ แต่ว่าในสังคมปัจจุบันนี้คนแก่ชรามีเยอะมาก
พอถึงเวลาในอนาคตจริง ๆ แล้ว คนแก่อาจจะเต็มวัดหรือสถานปฏิบัติธรรมนั้น ๆ เสียก่อน
และไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะให้เราไปร่วมพักอาศัยก็ได้

หากเราพิจารณากันจริงจังแล้ว จะพบว่าเราไม่สามารถจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งใด ๆ ทางโลกได้
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหลายในทางโลกนั้น ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
หากเราไม่ต้องการจะฝากชีวิตเราไว้กับสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แน่นอนแล้ว
เราย่อมเห็นได้ว่า เราไม่สามารถจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งใด ๆ ในทางโลกได้

ในเมื่อไม่สามารถจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งใด ๆ ในทางโลกได้
แล้วเราควรจะทำอย่างไร? ตอบว่ายังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ควรจะพิจารณา
กล่าวคือ เรายังสามารถฝากชีวิตไว้กับสิ่งทางธรรมได้

หากเราจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งใด ๆ ทางโลก เราก็สะสมสิ่งต่าง ๆ ทางโลกไปเรื่อย
แต่หากเราจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งทางธรรม เราก็สะสมสิ่งต่าง ๆ ทางธรรม
ซึ่งก็คือทาน ศีล และภาวนา โดยสะสมไว้ให้ถึงพร้อม สะสมให้สมควรแก่ธรรม
หากเรากังวลว่าอีกหน่อยพอเราแก่ชราแล้ว เราตักบาตรไม่ไหว ทำสังฆทานไม่ไหว
ไปวัดไม่ไหว ฟังธรรมะไม่ได้ยิน อ่านหนังสือธรรมะไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่ไหว
สิ่งที่เราควรทำก็คือให้พึงทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดให้เต็มที่และถึงพร้อมเสียแต่วันนี้
ตักบาตรวันนี้ ทำสังฆทานวันนี้ ไปวัดวันนี้ อ่านหนังสือธรรมะวันนี้
ฟังธรรมะวันนี้ ปฏิบัติธรรมวันนี้ ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่า สะดวกกว่า และง่ายกว่า
การที่เราจะไปรอทำเมื่อยามที่เราแก่ชราและทำอะไรไม่ไหวเสียแล้ว

หากเราได้บ่มเพาะทาน ศีล และภาวนาแก่ตนเองอย่างเต็มที่เสียแต่วันนี้
จนกระทั่งเราได้เข้าถึงธรรมในระดับหนึ่งก่อนที่เราจะแก่ชราและจะทำอะไรไม่ไหวนั้น
ชีวิตนี้ก็คุ้มค่าแล้ว ส่วนว่าตอนแก่จะทำอะไรไม่ไหว จะอยู่อย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว
ยกตัวอย่างว่า เราซื้อรถยนต์มาคันหนึ่ง ช่วงเวลาที่สำคัญที่เราควรใช้รถยนต์นั้นก็คือ
ช่วงที่เราได้ซื้อรถยนต์มาใหม่จนตลอดเวลาที่รถยนต์นั้นยังมีสภาพการใช้งานได้ดี
แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่รถยนต์ผุพังวิ่งไม่ไหวหรือใช้งานไม่ได้แล้วนั้น
ก็ย่อมจะไม่สำคัญแล้วครับว่าเราจะได้ใช้รถยนต์นั้นหรือไม่ หรือว่าจะเพียงแต่จอดมันไว้เฉย ๆ
ร่างกายที่ผุพังทำอะไรไม่ได้ก็ทำนองเดียวกัน
ร่างกายทำอะไรไม่ไหว ไม่มีใครมาพาไปทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน ไม่มีใครมาพาไปวัด
ร่างกายจะไปนอนเจ็บป่วยอย่างไร จะไม่มีใครมาคอยดูแลเลย
ร่างกายจะตายที่ไหนเมื่อไร จะไม่มีใครมาทำพิธีศพให้ ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้วครับ

ความสำคัญอยู่ที่ว่าในระหว่างที่เรายังสามารถใช้งานร่างกายได้ดีอยู่นั้น
เราได้ใช้งานร่างกายเราอย่างคุ้มค่าและเหมาะสมหรือไม่
หากเราใช้ร่างกายและจิตใจอย่างคุ้มค่าไปจนถึงเป้าหมายบรรลุธรรมได้แล้ว
ถึงแม้ร่างกายจะทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทานไม่ไหว ไปวัดไม่ไหว
เจ็บป่วยมากมาย หรือกระทั่งจะถึงแก่ความตายอย่างลำพัง ไม่มีใครมาดูแลสนใจ
แต่จิตใจเราก็มีความสุขครับ และก็ถือได้ว่าชีวิตนี้คุ้มค่าที่สุดแล้ว

หากถามว่าการเดินบนเส้นทางธรรมนี้ เราจะไปอยู่ที่ไหนในยามแก่ชรา
ขอเรียนว่าเมื่อถึงเวลานั้น เราก็จะทราบเองครับว่าเราควรจะอยู่ที่ไหน ไม่ควรอยู่ที่ไหน
ด้วยความที่ภูมิอากาศของโลกในปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น ๆ ที่เราคาดว่าเราจะอยู่ถึงก็ได้
หรือสถานที่ที่เราเตรียมไว้เพื่ออยู่ในยามแก่ชรา พอถึงเวลาจริง ๆ อาจจะไม่ดีแล้วก็ได้
หรือเราอาจจะไม่พอใจ หรือไม่ชอบใจในสถานที่แห่งนั้นก็ได้
แต่หากเรามีธรรมะในใจ ยอมรับความจริงใจโลกได้ ยอมรับความจริงของกายและใจได้
เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ลำบากอย่างไรก็อยู่ดี และจิตใจมีความสุขด้วยเราฝึกฝนอบรมไว้ดีแล้ว

หากเรายังฝึกฝนอบรมจิตใจไว้ไม่ดีพอแล้ว อยู่ที่ไหนก็ลำบาก และยิ่งแก่ยิ่งทุกข์
หากเราฝึกฝนอบรมจิตใจไว้ดีแล้ว อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ยิ่งแก่ก็ยิ่งสุข
เพราะธรรมะยิ่งเจริญงอกงาม และยิ่งใกล้เวลาจะได้ทิ้งขันธ์อันเป็นตัวทุกข์

ไม่ว่าเราจะเดินในเส้นทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม เราก็พึงทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด
เนื่องด้วยปัจจุบันดี ย่อมจะเป็นเหตุและปัจจัยให้อนาคตดี
หากในปัจจุบันเราพบว่าคนใกล้ตัวเราเริ่มทยอยตายไปเรื่อย ๆ แล้ว
สิ่งที่ควรทำนั้นไม่ใช่ว่าจะมัวไปกังวลว่าในอนาคตเราจะอยู่กับใคร และใครจะมาดูแลเรา
แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ พึงปฏิบัติต่อคนที่ยังเหลืออยู่นั้นให้ดีที่สุดอย่างเต็มที่
เพราะเมื่อเขาจากไป หรือเราจากไปแล้ว ก็ย่อมจะสูญเสียโอกาสดังกล่าวแล้ว

หากเราเลือกเส้นทางจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งทางโลก เราก็สะสมสิ่งโลก ๆ ไป
แต่หากจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งทางธรรม เราก็ต้องสะสมธรรม สะสมทาน ศีล และภาวนา
สะสมไปมาก ๆ แล้วความกังวลก็จะยิ่งลดลง
เพราะไม่มีใครมาปล้น มาโกง หรือมาพรากทาน ศีล และภาวนาไปจากเราได้
แม้ร่างกายจะแก่ชรา เราก็ไม่กังวลว่าไม่ได้ทำทาน เพราะได้ทำทานไว้ดีแล้ว
และยังได้รักษาศีล และภาวนา ซึ่งเป็นบุญกุศลสูงกว่าทานเสียอีก
แม้ร่างกายจะแก่ชรา เราก็ไม่กังวลเรื่องรักษาศีล เพราะได้รักษาศีลไว้ดีแล้ว
และรักษาศีลอย่างต่อเนื่องไปจนกระทั่งแก่ชรา กระทั่งตาย
แม้ร่างกายจะแก่ชรา เราก็ไม่กังวลเรื่องภาวนา และการปฏิบัติธรรม
เพราะได้ภาวนาไว้ดีแล้ว และภาวนาต่อเนื่องไม่ว่าจะแก่ชราเพียงไร หรือจะอยู่ในสถานที่ไหน
ไม่กังวลว่าเราไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งใด ๆ
เพราะไม่ว่ากายและใจจะไปอยู่ ณ สถานที่แห่งใด สถานที่แห่งนั้นก็คือสถานปฏิบัติธรรม