Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๔๘

ไม่มีเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรม

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dhammajaree-148

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้สนทนากับญาติธรรมท่านหนึ่งในเว็บบอร์ด
เขาบอกว่าติดภาระหน้าที่การงานเยอะ ไม่มีเวลาจะศึกษาและปฏิบัติธรรมเท่าไร
และบอกอีกว่าหากมีวาสนาบารมีจริง ๆ แล้ว ก็คงจะได้มีโอกาสในอนาคต
ไม่แน่ใจว่าบางท่านอาจจะรู้สึกเช่นนี้เหมือนกันบ้างไหม
โดยในสิ่งที่กล่าวมานี้ ผมเห็นว่ามีสองประการที่เราควรพิจารณากันให้ดีก่อนครับ

ในประการแรกที่บอกทำนองว่า ต้องรอให้เราเองมีวาสนาบารมีก่อน
เราจึงจะได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมในอนาคต
ในประการนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยากมาก
การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้นก็เป็นเรื่องยากมาก
การที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบกับพระพุทธศาสนายิ่งยากขึ้นไปอีก

บางท่านอาจจะมองว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่เห็นยากเลย ขณะนี้ก็มีตั้งหกพันกว่าล้านนะ
แต่หากเราลองนำจำนวนมนุษย์ไปเทียบกับจำนวนสัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ ล่ะ
จำนวนหมูเป็ดไก่มีเท่าไร เข้าโรงฆ่าสัตว์แต่ละวันเท่าไร นกในท้องฟ้ามีเท่าไร
มด แมลงและสัตว์เล็กสัตว์น้อยมีเท่าไร สัตว์ต่าง ๆ ในพื้นดินมีเท่าไร
กุ้ง หอย ปู ปลา และสัตว์อื่น ๆ ในแม่น้ำ และในท้องทะเลมีเท่าไร
หากเทียบกับจำนวนมนุษย์แล้ว หกพันล้านก็ถือว่าน้อยมาก ๆ ใช่ไหม
หากท่านไหนมีอภิญญาหรือญาณวิเศษก็อาจจะไปพิจารณาทราบได้อีกว่า
แล้วที่เกิดในอบายภูมิอื่น ๆ ที่ไปเป็นเปรต อสุรกาย และสัตว์นรกอีกจำนวนมากมาย
หรือไปเกิดบนสวรรค์และบนพรหมโลกอีกเป็นจำนวนเท่าไร
ก็จะรู้สึกได้ชัดเจนว่า จำนวนมนุษย์หกพันล้านนั้นไม่ได้เยอะเลย

ในเมื่อเราได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
มีร่างกาย สมอง และจิตใจที่สมบูรณ์ ได้อยู่ภายใต้พระพุทธศาสนา
ได้อยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศแห่งพระพุทธศาสนา
เราสามารถอ่านและฟังภาษาไทยได้ ซึ่งมีสื่อพระธรรมคำสอนมากมายในภาษาไทย
เพียงแค่นี้ ก็ถือได้ว่าพวกเรามีบารมีมากมายแล้วจริง ๆ
ปัญหาจึงไม่ใช่ว่าเรายังมีบารมีไม่พอ
ปัญหาคือว่าเรามีบารมีอยู่แล้ว แต่เราใช้บารมีของเราอย่างไร

เรามีโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่เราจะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว
แต่เราใช้โอกาสของเราไปทำอะไรบ้าง ไปไล่ตามไขว่คว้าอะไรบ้าง
เปรียบเสมือนเราอยู่ในร้านอาหารบุปเฟ่ต์นะครับ
ก็มีหลายท่านไปตักอาหารดี ๆ มีประโยชน์มาทาน
แต่บางท่านไม่ยอมลุกไปตักอาหาร โดยบอกว่าตนเองยังไม่มีวาสนาบารมี
บางท่านไปหยิบแต่น้ำเปล่ามาดื่ม โดยบอกว่าตนเองยังไม่มีวาสนาบารมี
หรือเข้าใจว่าน้ำเปล่านั้นเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
จะเห็นได้ว่า การไม่ได้อยู่ในร้านอาหารบุปเฟ่ต์ จึงไม่สามารถตักอาหารได้เลย
กับการอยู่ในร้านอาหารบุปเฟ่ต์อยู่แล้ว แต่ไม่ใช้โอกาสของตนให้เป็นประโยชน์
ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนะครับ
หากไม่ได้อยู่ในร้าน แล้วบอกว่าตักอาหารในร้านไม่ได้ ก็รับฟังได้อยู่
แต่หากนั่งอยู่ในร้านแล้วบอกว่าตักอาหารในร้านไม่ได้ อย่างนี้เข้าใจผิดแล้ว

ในชีวิตของเราที่ได้พบกับพระพุทธศาสนานี้ก็เช่นกันครับ
พวกเราได้มีโอกาสพบกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
บางคนสนใจศึกษาและปฏิบัติโดยใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
บางคนไม่สนใจศึกษาพระธรรมคำสอนเลย โดยอ้างว่าไม่มีวาสนาบารมี
บางคนสนใจศึกษาแต่เรื่องทำบุญทำทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ศาสนาไหน ๆ ก็มี
โดยไม่ได้พาตนเองเข้าถึงแก่นคำสอนในพระพุทธศาสนาเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
แต่กลับพยายามอ้างว่าตนเองยังไม่มีวาสนาบารมีเพียงพอ
ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องของวาสนาบารมีไม่เพียงพอครับ
แต่ปัญหาคือ เราไม่ได้ใช้โอกาสของเราเองให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ในประการแรกนี้คงเข้าใจได้นะครับว่า เรามีโอกาสแล้วและสามารถใช้โอกาสนั้นได้

ประการที่สองคือหลาย ๆ ท่านบอกว่าตนเองไม่มีเวลา เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ
ต้องหาเลี้ยงและดูแลครอบครัว หรือต้องรับผิดชอบงานหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ
หากเราจะลองพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่าปัญหานั้นไม่ใช่ว่าเราไม่มีเวลา
แต่ปัญหาจริง ๆ คือ เราจะจัดสรรเวลาของเราอย่างไร
บางคนบอกว่า เราไม่มีเวลาไปฟังธรรมและไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรอก
ก็พึงเข้าใจเสียใหม่ว่า การฟังธรรมและปฏิบัติธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องทำที่วัด
แต่จะทำที่บ้านเราก็ได้ หรือสถานที่อื่น ๆ ก็ได้ที่เราสะดวก
(และเหมาะสมแก่เวลาและสถานที่นั้น ๆ)

อย่างเรื่องฟังธรรมะนั้น บางคนบอกว่าตนเองไม่มีเวลาฟังหรอก
แต่ตนเองมีเวลาฟังเพลง มีเวลาดูโทรทัศน์ มีเวลาไปดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์
มีเวลาโทรศัพท์คุยกับเพื่อนฟังเพื่อนเล่าเรื่องคนโน้นคนนี้เยอะแยะไร้สาระ
แต่กลับบอกว่าไม่มีเวลาฟังธรรมะ
หรืออย่างเรื่องอ่านหนังสือธรรมะนั้น บางคนบอกว่าตนเองไม่มีเวลาอ่านหรอก
แต่ตนเองมีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านข่าวการเมือง อ่านข่าวดารา อ่านเรื่องย่อละคร
มีเวลาอ่านนิตยสารบันเทิง มีเวลาอ่านข่าวในเว็บไซต์
มีเวลาอ่านโพสต์ของเพื่อนในเฟสบุ๊ค มีเวลาไปโพสต์เถียงกัน มีเวลาไปกดไลค์ ฯลฯ

ในส่วนของการทำทานนั้น บางคนบอกว่าตนเองไม่มีเวลาไปถวายสังฆทานที่วัด
โดยเราก็สามารถทำทานได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปทำบุญที่วัดเท่านั้น
การให้เงินแก่พ่อแม่ หรือลูก หรือญาติตนเอง ก็เป็นการทำทานเช่นกัน
การใส่เงินในกล่องรับบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ ก็เป็นการทำทานเช่นกัน
การร่วมทำบุญใส่เงินในซองผ้าป่า ซองกฐิน หรือร่วมทำบุญที่มีญาติธรรมมาเรี่ยไร
ก็เป็นการทำทานเช่นกัน หรือหากเราต้องการจะทำบุญกับวัดเท่านั้น
ก็มีหลายวัดที่เรี่ยไรโดยให้เลขที่บัญชีของวัด ซึ่งเราก็สามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้
หรือเราจะตั้งกล่องหรือกระปุกออมสินไว้หยอดเงินทำบุญของเราเองทุกวันก็ได้
พอกล่องเต็มหรือกระปุกเต็มแล้วก็นำไปร่วมทำบุญในโครงการต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่าการทำทานนั้นทำได้สะดวก และไม่ได้ต้องใช้เวลาอะไรมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่าการทำบุญสร้างพระพุทธรูป หรือสร้างวัดเป็นเรื่องยาก
เราก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดคนเดียวนี่ครับ เพียงเราไปร่วมทำบุญใส่ซองหรือใส่กล่อง
ร่วมทำบุญกับทางวัดหรือเจ้าภาพเขาด้วย ก็เท่ากับเราได้ร่วมสร้างด้วยแล้วนะ

ในส่วนของการรักษาศีล ก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมาย
ในทางกลับกัน การรักษาศีลจะทำให้เรามีเวลามากขึ้นอีกด้วย
หากเราเทียบการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มสุรา
กับการไปฆ่าสัตว์ ไปขโมยเขา ไปคบชู้ ไปโกหก และไปดื่มสุรา
ถามว่าอย่างไหนจะต้องใช้เวลามากกว่ากัน
ก็จะเห็นได้ไม่ยากนะครับว่า การประพฤติผิดศีลนั้นจะใช้เวลาเยอะกว่า
หากท่านไหนบอกว่าตนเองไม่มีเวลารักษาศีลแล้ว ก็น่าจะถือว่าแปลกมากทีเดียว
เพราะเท่ากับว่า ท่านนั้นบอกว่าตนเองมีเวลาไปประพฤติผิดศีล
แต่ไม่มีเวลารักษาศีลเช่นนั้นหรือ ทั้งที่การประพฤติผิดศีลนั้นใช้เวลาและกำลังมากกว่า
การรักษาศีลสามารถทำได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันตามปกติของเราอยู่แล้ว
ตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงาน เวลาทำงาน เวลาพัก
เดินทางกลับบ้าน ทานอาหาร อาบน้ำ เข้านอน ฯลฯ ก็รักษาศีลได้ตลอด

ในส่วนของการทำสมาธินั้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปนั่งสมาธิที่วัดเช่นกัน
จริง ๆ แล้ว การทำสมาธิก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องนั่ง โดยก็ทำในอิริยาบถอื่น ๆ ก็ได้
และก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องมานั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมวันละสองสามชั่วโมง
โดยเรามีเวลาเพียงแค่ไหน เราก็ทำไปตามเวลาที่เรามี ทำไปตามพละ ๕ ของเรา
อย่างเช่น เรานั่งรถเมล์ไปทำงานนะ เราฝึกดูลมหายใจ
เราฝึกบริกรรมพุทโธ หรือเราฝึกดูท้องพองยุบไปด้วยก็ได้
หากเราขับรถเอง รถติดไฟแดงหนึ่งนาที ก็มีเวลาทำสมาธิได้เกือบหนึ่งนาที
โดยทำสมาธินี้ ไม่จำเป็นต้องหลับตานะครับ ลืมตาก็ทำสมาธิได้
(หากหลับตาแล้วอาจจะฟุ้งซ่าน และไม่มีสมาธิก็ได้ สมาธิอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ตา)
หรือเรานั่งทำงานอยู่ที่ที่ทำงานหรือที่บ้านก็ตาม แล้วอยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ
เราเอนหลังหลับตาชั่วครู่ หรือนั่งตัวตรงหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ
เพียงแค่ชั่วเวลาไม่ถึงนาที ก็สามารถทำสมาธิได้เช่นกัน
เวลาไปประชุม ระหว่างนั่งรอคนอื่นที่ยังไม่มา และการประชุมยังไม่เริ่ม ก็ทำสมาธิได้
เวลาไปร้านอาหาร ระหว่างรออาหารที่สั่ง ก็ทำสมาธิได้
หรือเราทานอาหารเสร็จแล้ว แต่รอเพื่อน ๆ หรือคนอื่นทานให้เสร็จ ก็ทำสมาธิได้ ฯลฯ
แต่หากเรามีศรัทธามากขึ้น มีกำลังใจมากขึ้น มีความคุ้นเคยมากขึ้น
เห็นความสำคัญมากขึ้น เราก็จะแบ่งเวลาให้กับการทำสมาธิได้มากขึ้นครับ

ในส่วนการภาวนาโดยวิปัสสนานั้น หากเราเข้าใจถึงการฝึกเจริญสติและเจริญปัญญาแล้ว
เราก็สามารถทำได้ทั้งวันอยู่แล้วครับ ยกเว้นเวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิดเท่านั้นเอง
โดยเราสามารถฝึกเจริญสติรู้กายใจ รู้รูปนามได้ในทุกอิริยาบถ ทำได้กระทั่งตื่นจนหลับ

หากเรานำเวลาในแต่ละวันของเรามาตีแผ่พิจารณาแล้ว ก็จะพบว่า
เวลาศึกษาและปฏิบัติธรรมของเรานั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยครับ
เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสร้างข้อจำกัดว่า จะต้องไปทำที่วัดเท่านั้น
และเราก็ต้องเข้าใจว่า การศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมายเลย
เพียงแต่ว่าเราจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะได้จัดสรรเวลาเราเอง
สังสารวัฏนั้นยาวนานนัก เราเคยทำเรื่องไร้สาระมามากมายหลายชีวิตแล้ว
แต่ชีวิตนี้พึงทำและขอทำเรื่องสำคัญที่สมควร
แก่โอกาสที่ได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนครับ

หากสมมุติว่าเราลองจัดสรรดูแล้ว ก็ยังติดภารกิจอื่น ๆ มากมาย
ก็ต้องลองพยายามหาเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ แทรกไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ๆ ครับ
หากมีเวลาว่างสักหนึ่งหรือสองนาทีในช่วงใด ๆ ก็ตาม
ก็พึงระลึกใจรักษาศีล แล้วก็ฝึกทำสมาธิ ฝึกเจริญสติ เจริญปัญญาไป
แต่เรา ๆ ท่าน ๆ มักไม่ทำเช่นนั้น ลองสังเกตดู หากมีเวลาเล็กน้อยแล้ว
สิ่งที่หลาย ๆ คนทำก็คือหยิบโทรศัพท์มือถือ หยิบแท็ปเล็ตขึ้นมา
ว่างเล็กน้อยเมื่อไร ก็เข้าเน็ต เข้าเฟสบุ๊ค เช็คอีเมล์ เล่นเกม ถ่ายภาพ
โทรไปคุยกับเพื่อน เดินไปคุยกับเพื่อน หาเรื่องโน้นนี้มาคิดหรือกลุ้มไปเรื่อย
สรุปคือพยายามหาเรื่องให้จิตใจตัวเองทำงานหรือต้องหลงฟุ้งซ่านอยู่ตลอด
แล้วก็บอกว่าไม่มีเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรมเท่าที่ควร

หากเรารู้วิธีนะครับ และปรับเปลี่ยนอะไรสักเล็กน้อยแล้ว
จะศึกษาและปฏิบัติธรรมได้เยอะเลย
เวลาในชีวิตก็ไม่ต่างจากเดิมหรอกครับ นอนเท่าเดิม ทำงานเท่าเดิม
แต่ว่าเราอาศัยเก็บส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้หมดครับ และตัดเวลาไร้สาระออกไป
เหมือนเก็บเงินใส่กระปุกครับ เก็บวันละนิด เงินก็เต็มกระปุกได้
เงินหลายกระปุกก็เป็นเงินเยอะได้นะครับ
เวลาที่ฝนตกจนน้ำท่วมนั้น ฝนแต่ละเม็ดก็เล็กนิดเดียวนะ
แต่เราอย่าประมาทว่าฝนเม็ดเล็กนะครับ
ฝนเม็ดเล็ก ๆ นี้แหละทำน้ำเต็มเขื่อน ทำน้ำท่วมประเทศมาแล้ว
กุศลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราหมั่นทยอยสะสมไว้ ก็ให้ผลทำนองเดียวกันได้ครับ