Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๔๖

วิมานในอากาศ

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

dharmajaree-146
คุณพ่อผมรู้จักคุณอาช่างตัดผมท่านหนึ่งมานานหลายสิบปี (โดยไม่ได้เป็นญาติกันนะครับ)
ทั้งสองท่านรู้จักกัน และคุณพ่อผมก็เริ่มได้ตัดผมกับคุณอาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อผมยังเรียนไม่จบ
โดยท่านก็ตัดผมกับคุณอาท่านนี้เรื่อยมาจนกระทั่งท่านถึงแก่กรรม
ในเวลาที่ท่านไปตัดผมกับคุณอานี้ก็จะจ่ายค่าตัดผมให้เยอะกว่าจำนวนปกติ
คล้ายกับว่าไปช่วยเหลือเงินให้เพื่อนหรือให้ญาติมากกว่าไปตัดผมเสียอีก

คุณอาซึ่งเป็นช่างตัดผมท่านนี้ปัจจุบันนี้ก็อายุมากแล้วครับอายุประมาณ ๗๕ ปีได้
ขณะนี้ท่านก็อาศัยอยู่คนเดียว โดยเช่าพื้นที่ปลูกบ้านชั้นเดียวเล็ก ๆ ทำเป็นร้านตัดผม
โดยหลังจากที่คุณพ่อผมถึงแก่กรรมไปแล้ว พี่ชายและผมก็ไปใช้บริการตัดผมของคุณอาต่อไป
จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่คำสั่งของคุณพ่อ และก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของพวกผมหรอกครับ
แต่เห็นว่าหากคุณพ่อยังอยู่ ท่านก็จะไปตัดผมและช่วยเหลือเงินให้คุณอาท่านนี้
พวกผมจึงไปตัดผมกับคุณอา พร้อมกับช่วยเหลือเงินบางส่วน และนำของไปฝากด้วยทุกเดือน

ของที่นำไปฝากคุณอานั้น ก็รวมทั้งของกินของใช้นะครับ
แต่หากถามว่าของอะไรที่เป็นประโยชน์มากที่สุดที่ได้นำไปให้นั้น
ผมเห็นว่าคือหนังสือสวดมนต์และหนังสือธรรมะ
และก็เรื่องราวธรรมะที่คุยกันในระหว่างตัดผมนั้น เป็นประโยชน์มากที่สุดครับ
เริ่มแรก ๆ พวกเราก็คุยเรื่องอภินิหารหลวงปู่ต่าง ๆ ที่ชื่อดังทางพระเครื่องซึ่งคุณอาชอบนะครับ
ต่อมา ก็เริ่มพัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยผมพยายามจะดึงมาคุยเนื้อหาธรรมะแท้ ๆ ให้มากขึ้น
จนปัจจุบัน ก็ได้คุยมาถึงเรื่องปฏิบัติในแต่ละวัน โดยสอนให้รู้จักทำทาน ถือศีล สวดมนต์
บริกรรมพุทโธ กล่าวคือให้เดินอยู่ในทางของทาน ศีล และภาวนาเสมอ ๆ

เพียงแค่คุยกันระหว่างตัดผมเดือนละหนึ่งหน และนำหนังสือธรรมะไปให้อ่านนี้แหละครับ
ก็มีพัฒนาการหลายอย่างเป็นที่เป็นประโยชน์อย่างมาก โดยคุณอาเห็นความสำคัญของศีล
ตั้งใจรักษาศีลมากขึ้น แบ่งเวลาสวดมนต์ทุกวัน และหมั่นบริกรรมพุทโธอยู่เสมอ ๆ
คุณอาท่านเข้าใจมากขึ้นถึงคำสอนในพระพุทธศาสนา
และเลิกที่จะไปมัวคิดสร้างเลิกสร้างวิมานในอากาศ
โดยหันกลับมายอมรับความจริงของโลก และความจริงในชีวิตคนเรา

ศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพวกเราทุกคนตั้งแต่เกิดจนตายนะครับ
แต่หากถามว่าพวกเราได้มีโอกาสเข้าถึงแก่นธรรมคำสอนในศาสนาพุทธแค่ไหน
พวกเรากลับต้องตอบว่า “มีโอกาสน้อยมาก ๆ”
เพราะว่ากระแสกิเลสในโลกนั้นรุนแรงมากและลากพาเราให้ห่างไกลจากแก่นธรรมคำสอน
อย่างเช่น ผมเคยถามคุณอาว่า ตั้งแต่คุณอาเริ่มเป็นช่างตัดผมมาหลายสิบปีนี้
มีลูกค้าอยู่กี่คนที่มาคุยเรื่องให้คุณอาถือศีล สวดมนต์ บริกรรมพุทโธ และอ่านหนังสือธรรมะ
คุณอาตอบว่า มีผมอยู่แค่คนเดียวนี้แหละ ที่มาคุยเรื่องนี้ให้ฟัง และบอกให้ทำ

ผมไม่ได้จะบอกว่าผมเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรี หรือได้ช่วยเหลืออะไรเยอะแยะนะครับ
เพียงจะชี้ประเด็นให้เห็นว่า แม้เราจะอยู่ใกล้พุทธศาสนามาโดยตลอดก็ตาม
แต่ก็เป็นไปได้ว่า ชีวิตทั้งชีวิตของคน ๆ หนึ่งไม่ได้มีโอกาสฟังแก่นธรรมคำสอนในพุทธศาสนาเลย
ผมก็เคยเล่าให้คุณอาฟังนะครับว่า การปฏิบัติธรรมแท้ ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
ที่ผมว่ายากนั้นน่าจะเรื่องการที่เราจะได้มีโอกาสมาได้ยินได้ฟังแก่นธรรมคำสอน
และการเปิดใจต้อนรับแก่นธรรมคำสอนมากกว่า
โดยมีหลาย ๆ คนที่จะไม่ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังแก่นธรรมคำสอนเลย
และมีหลาย ๆ คนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังแก่นธรรมคำสอนแล้ว แต่ปฏิเสธไม่รับ

อย่างเช่น เคยมีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ท่านไปแสดงธรรม ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
พอคนเปิดประตูทราบว่า ท่านมาแสดงธรรมที่สถานที่นั้น เขาก็รีบกุลีกุจอช่วยเปิดประตูให้
แต่พอยื่นซีดีธรรมะให้แก่เขา เพื่อให้เขานำไปฟัง เขากลับปฏิเสธ ไม่รับไปฟัง
เขาไม่เข้าใจว่า เขาได้แต่เพียงบุญกุศลเล็ก ๆ จากการช่วยเปิดประตู
แต่บุญกุศลอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้น เขากลับไม่ยอมรับ
สรุปได้ว่า เขาเปิดเพียงแต่ประตูภายนอกทางกาย แต่ไม่เปิดประตูในใจเพื่อรับธรรมะ

ในสังคมปัจจุบันนี้ ก็มีคนเหล่านี้ไม่น้อยเลยนะครับ ที่มีโอกาสฟังแล้ว แต่ไม่สนใจฟัง
มีโอกาสปฏิบัติแล้ว แต่ไม่สนใจปฏิบัติ
บางคนนั้นแจกหนังสือธรรมะเยอะแยะ แต่ตนเองไม่เคยอ่าน หรืออ่านไปนิดเดียว
บางคนนั้นแจกซีดีธรรมะเยอะแยะ แต่ตนเองไม่เคยฟัง หรือฟังไปแค่นิดเดียว
บางคนนั้นแจกหนังสือสวดมนต์เยอะแยะ แต่ตนเองไม่ได้สวดมนต์เท่าไร
บางคนนั้นแนะนำให้คนอื่นปฏิบัติธรรมเยอะแยะ แต่ตนเองกลับไม่ได้ปฏิบัติเท่าไร
บางคนได้พบได้ฟังธรรมะแล้ว แต่ไม่เปิดใจรับ แถมยังหยิบเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตำหนิโน่นนี่เสียอีก
ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการเสียโอกาสเป็นอย่างมากครับ

มีคนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังแก่นธรรมคำสอนเท่าไรเลย
เพราะว่าสภาพแวดล้อม และกระแสกิเลสต่าง ๆ ในสังคมทำให้เป็นเช่นนี้
พวกเราโดนสภาพแวดล้อม และกระแสกิเลสในสังคมหลอมให้สร้างเป้าหมายในชีวิตว่า
จะต้องร่ำรวย เก่ง มีทรัพย์สิน มีเกียรติ มีชื่อเสียง มีครอบครัวที่ดี มีสุขภาพที่ดี อายุยืน ฯลฯ
เวลาที่พวกเราอยากจะได้รับคำอวยพรใด ๆ เราจึงมักจะคุ้นเคยกับคำอวยพรประเภทที่ว่า
ขอให้พบแต่ความสุข พบแต่ความเจริญ ขอให้อย่าเจ็บ อย่าจน อย่าแก่ ฯลฯ
พวกเรามองว่าคำอวยพรเหล่านี้เป็นคำอวยพรที่ดีเลิศ เป็นสิ่งที่น่าต้องการ
แต่พอบอกว่า มีรวยก็ต้องมีจน มีเจริญก็มีเสื่อม มีลาภก็เสื่อมลาภ มีสรรเสริญก็มีนินทา
มีสุขก็มีทุกข์ หรือบอกว่า เราทุกคนจะต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายเป็นธรรมดาแล้ว
หลาย ๆ คนกลับมองว่า พูดขึ้นมาทำไม เรื่องอัปมงคลเหล่านี้ จะแช่งกันหรืออย่างไร
แต่หากบอกว่าอย่าเจ็บ อย่าจน อย่าแก่ อย่าตายแล้ว ก็กลับบอกว่า “ดี ๆ ชอบ ๆ”
พวกเราหลาย ๆ คนไม่ชอบของจริงครับ แต่เราชอบหลอกตัวเอง เราชอบวิมานในอากาศ

ผมเคยอธิบายคุณอาว่า “ธรรมะจริง ๆ แล้วไม่ยากหรอกครับ
แต่ชีวิตเรานั้นไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ฟัง เรามักจะได้ยินได้ฟังอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ธรรมะ
เรามักจะโดนสอนให้ไหลไปตามกระแสกิเลส ซึ่งไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงแต่วิมานในอากาศ
อย่างคนไหนยากจน กิเลสก็จะสอนว่า ต้องขยันต่าง ๆ นานา เพื่อให้ร่ำรวยนะ
พอคนไหนร่ำรวย กิเลสก็จะสอนว่าต้องดูแลกิจการ ต้องทำโน่นนี่เพื่อรักษาไว้หรือรวยขึ้นไปอีก
สรุปแล้วยากจนก็ต้องทำงานหาเงิน ร่ำรวยก็ต้องทำงานหาเงิน
เราทุกคนก็ตกเป็นทาสของกิเลส โดยไม่ได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมให้พ้นจากกิเลส
เราไม่ได้มีโอกาสทำหน้าที่จริง ๆ ของมนุษย์เราที่พึงพัฒนาจิตใจตนเองไปสู่ความพ้นทุกข์”
คุณอาตอบว่า “จริง ๆ ด้วยนะ โดนมันหลอกจริง ๆ”

ผมถามว่า “อย่างเช่น ถือศีลกับไม่ถือศีลนี้ คุณอาว่าอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน
อย่างเราคิดจะไปฆ่าคนอื่น ก็ต้องวางแผน ต้องตระเตรียมโน่นนี่
ทำไปแล้วก็จะโดนตำรวจจับติดคุกติดตาราง หรือไม่ก็โดนประหาร
เทียบกับเราอยู่เฉย ๆ ไม่ไปฆ่าเขานี้ อย่างไหนจะง่ายกว่า”
คุณอาตอบว่า “ไม่ฆ่าเขาสิ ง่ายกว่า”
“หรือจะไปลักขโมยคนอื่น ก็ต้องวางแผน ตระเตรียมโน่นนี่เช่นกัน
ทำไปแล้วก็จะโดนตำรวจจับไปติดคุกติดตารางเช่นกัน
เทียบกับอยู่เฉย ๆ ไม่ลักขโมยเขานี้ อย่างไหนจะง่ายกว่า”
คุณอาตอบว่า “ไม่ลักขโมยสิ ง่ายกว่า”
“หากจะไปเป็นชู้กับเมียคนอื่น ก็ต้องระวังไม่ให้สามีเขาจับได้ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
เทียบกับอยู่เฉย ๆ ไม่ไปเป็นชู้ อย่างไหนจะง่ายกว่า”
คุณอาตอบว่า “ไม่ไปเป็นชู้สิ ง่ายกว่า”
“หรือจะโกหกคนอื่น ก็ต้องคิดวางแผนจะโกหกยังไง ไม่ให้เขาจับได้
ต้องจดจำไว้อีกว่าเคยโกหกเขาไว้อย่างไร เทียบกับอยู่เฉย ๆ ไม่โกหกเขา อย่างไหนจะง่ายกว่า”
คุณอาตอบว่า “ไม่โกหกสิ ง่ายกว่า”
“หากเราไปซื้อสุรามาดื่ม ก็ต้องเสียเงินทอง เสียเวลา เสียสุขภาพร่างกาย
เทียบกับอยู่เฉย ๆ ไม่ดื่มสุราแล้ว อย่างไหนจะง่ายกว่า”
คุณอาตอบว่า “ไม่ดื่มสุราสิ ง่ายกว่า”

ผมอธิบายต่อไปว่า “นี่แหละ จริง ๆ แล้ว เราก็จะเห็นได้ว่า ถือศีลนั้นไม่ได้ยากอะไร
การไม่ถือศีลนี่สิ กลับเป็นสิ่งที่ยากกว่าเยอะเลย
แต่หลาย ๆ คนในโลกนี้กลับเข้าใจว่า ถือศีลเป็นเรื่องยาก ทำไม่ไหวหรอก
ศีลเป็นของที่หนักเสียเหลือเกิน แต่หากให้ถือขวดสุรา ถือการพนัน
ถือการเบียดเบียนเขา ถือสิ่งผิดศีลต่าง ๆ กลับไม่เห็นว่าหนัก”

อธิบายต่อไปว่า “กระแสกิเลสในสังคมสอนอะไรเราบ้างในอดีต
มันสอนเราบอกว่า ขอให้มีแต่รวย ขอให้มีแต่เจริญ ขอให้เฮง ขอให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
หลายคนก็กราบไหว้พระเครื่องหลวงพ่อหลวงปู่ต่าง ๆ หรือพระพุทธเจ้าก็ตาม
แล้วก็ร้องขอทำนองว่า ขอให้อย่าแก่ อย่าเจ็บ และอย่าตาย
แต่เราลองพิจารณานะว่า แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทรงชรา ประชวร และปรินิพพาน
และแม้กระทั่งหลวงปู่หลวงพ่อท่านต่าง ๆ นั้น ท่านก็แก่ เจ็บ และมรณภาพเหมือน ๆ กัน
แต่พวกเรากลับไปขอให้พวกท่านมาช่วยเราให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
แล้วสิ่งที่เราขอเช่นนี้ มันจะเป็นไม่ได้ไหม”
คุณอาตอบว่า “เป็นไปไม่ได้”
“แต่หลาย ๆ คนก็ขออย่างนั้นไหม”
คุณอาตอบว่า “หลาย ๆ คนขออย่างนั้น”
“แล้วจะทำได้ไหม จะทำได้หรือ จะได้เช่นนั้นตามที่ร้องขอไหม”
คุณอาตอบว่า “ไม่ได้ตามที่ขอแน่”

“อย่างเช่น ถ้าผมบอกว่าให้คุณอาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีนี้ เอาไหม”
คุณอาตอบว่า “โอ อย่างนี้ชอบ จะได้นั่งนับเงินเยอะ ๆ”
“แล้วถามว่ายากไหม”
คุณอาตอบว่า “ยาก ยากมาก ทำไม่ได้หรอก ทำมาหากินแต่ละวันยังแย่เลย”
“แล้วถ้าผมบอกว่า ให้คุณอาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เอาไหม”
คุณอาตอบว่า “โอ อย่างนี้ชอบ”
“ถามว่ายากไหม ทำได้ไหม เป็นไปได้ไหม”
คุณอาตอบว่า “ทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้”
ผมอธิบายว่า “นี่แหละ คนในโลกจำนวนมากอยากจะได้แต่สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้
พวกเราโดนหลอกให้ร้องขอสิ่งเหล่านี้ อยากจะได้แค่สิ่งที่ฝืนความจริง
เรามัวแต่สร้างวิมานในอากาศ มัวแต่สนใจวิมานในก้อนเมฆที่เลื่อนลอยไปอยู่ตลอดเวลา
คนในโลกจำนวนมากไม่ได้สนใจความจริง ของจริง และเรื่องจริงที่ว่า
ทุกคนเกิดมานั้นก็ต้องแก่ เจ็บ และตายทุกคน
และไม่ว่าเราจะมีอะไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง จะต้องเสื่อม และไม่คงทนถาวร

แม้ว่าเวลาชีวิตเราทุกคนจะมีไม่เยอะ เวลาชีวิตเรามีน้อยมาก
แต่ในเวลาที่น้อยเช่นนี้ หลาย ๆ คนก็ใช้เวลาชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย ใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย
เราทุกคนก็ควรมาสนใจที่จะพัฒนาจิตใจตนเองให้เข้าถึงพระธรรมคำสอนแท้ ๆ ในพุทธศาสนา
เส้นทางเดินก็ไม่ยาก อธิบายอย่างย่อ ๆ ก็มีเพียง ทาน ศีล และภาวนา เท่านั้น
ซึ่งคุณอาก็ทำเป็นและทำได้อยู่แล้ว เหลือเพียงว่าจะทำไปได้มากแค่ไหนในเวลาชีวิตที่เหลืออยู่
เป้าหมายสุดท้ายในเส้นทางของเราคืออะไร? เป้าหมายสุดท้ายก็คือความพ้นทุกข์สิ้นเชิง
โดยเมื่อเราไปถึงตรงนั้นได้ จึงจะถือว่าเข้าถึงเป้าหมายของพุทธศาสนา”

นอกจากบทสนทนาข้างต้นแล้ว ก็ยังมีคุยกันเรื่องสอนให้บริกรรมพุทโธอยู่เสมอ ๆ
สอนให้สวดมนต์เป็นประจำทุกวัน หรือในช่วงเวลาใด ๆ ก็ได้ที่มีเวลาว่าง
(เช่น ระหว่างรอลูกค้าเข้าร้าน) โดยเมื่อบริกรรมหรือสวดมนต์ไปแล้ว ใจสงบก็รู้ทันใจว่าสงบ
บริกรรมหรือสวดมนต์ไปแล้ว ใจไม่สงบก็รู้ทันใจว่าไม่สงบ ทำนองนี้
ซึ่งคุณอาท่านนี้ก็อายุมากแล้วนะครับ แต่ก็ยังสามารถเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ที่อธิบายให้ฟังได้
โดยผมเห็นว่าส่วนสำคัญก็เพราะว่าคุณอาท่านเปิดใจรับครับ
เทียบกับบางท่านที่ผมรู้จักหรือที่ผมเห็นนั้น อธิบายหรือตักเตือนอะไรไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้สนใจจะรับฟังอะไร เหมือนมีเมฆหมอกอะไรมาบังตาก็ไม่ทราบ
ไม่ว่าจะอธิบายอะไร แนะนำอะไรไปก็ตาม ล้วนแต่ปฏิเสธไปหมดเสียทุกอย่าง

เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ก็แนะนำให้พวกเราหันมาพิจารณาตนเองกันครับ
เรายังต้องการอยากได้อะไรที่มันเกินความเป็นจริงบ้างไหม หรือเป็นไปไม่ได้บ้างไหม
อย่างเช่นว่า อย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าจน อย่าเจอทุกข์ ให้มีแต่รวย มีแต่สุข เป็นต้น
อยากจะให้คนอื่นเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ อยากจะให้คนอื่นทำกับเราอย่างที่ใจต้องการ
อยากจะให้โลกนี้ หรือสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ
อยากจะให้กายหรือใจเราเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ ฯลฯ
ก็แนะนำว่า ให้เราพึงพิจารณายอมรับความเป็นจริงครับว่า จะเป็นไปได้หรือ
เราจะไปเสียเวลาชีวิตเรากับวิมานในอากาศเหล่านั้นทำไม
และทำไมเราจึงไม่ใช้เวลาชีวิตของเราไปเพื่อเป้าหมายที่มีประโยชน์ที่สุด มีคุณค่าที่สุด
ซึ่งก็คือการพัฒนาจิตใจเราเองให้เข้าถึงแก่นธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานี้