Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๔๕

เรื่องในอดีตตามหลอน

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-145

ปัญหาเรื่องหนึ่งที่มักจะถามกันบ่อย ๆ ในเว็บบอร์ดธรรมะก็คือ
กรณีที่เรามีเรื่องประสบการณ์ไม่ดีบางอย่างในอดีตในชีวิตที่ผ่านมา
เรื่องดังกล่าวทำให้เราทุกข์ใจมาก แต่เราก็ลืมเรื่องนั้นไม่ได้เสียที
(เหมือนกับเพลงในอดีตที่ร้องว่า “อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ” ทำนองนั้น)
โดยก็เหมือนกับว่าเรื่องนั้นตามมาหลอกหลอนให้เราต้องทุกข์ใจไปเรื่อย ๆ
ซึ่งประเภทของเรื่องในอดีตดังกล่าวก็มีหลายแบบนะครับ
เช่น เรื่องที่คนอื่นมาทำไม่ดีกับเราไว้ เรื่องที่เราไปทำไม่ดีไว้กับคนอื่น
เรื่องที่เราเคยทำผิดพลาด บกพร่อง หรือน่าอับอายไว้
เรื่องที่เราเคยผิดหวัง ล้มเหลว หรือเสียใจอย่างมาก เป็นต้น

อย่างที่ผมเคยพบเห็นหรือได้รับทราบก็มีอยู่หลายกรณีนะครับ เช่น
กรณีเลิกกับแฟนตั้งนานแล้ว จนกระทั่งแฟนที่เลิกนั้นไปแต่งงานมีลูกแล้ว
แต่เราเองยังมัวทุกข์ใจและไม่ลืมเรื่องเลิกกับแฟนคนนั้นอยู่เลย
หรือกรณีที่สัตว์เลี้ยงตายแล้ว รู้สึกเป็นห่วงสัตว์เลี้ยงนั้นว่าจะไปสู่สุคติไหม
ผ่านไปหลายเดือนหรือผ่านไปเป็นปีแล้ว ก็ยังห่วงสัตว์เลี้ยงตัวนั้นอยู่
หรือกรณีที่เคยพูดพลาดในเรื่องอะไรบางอย่างแล้วโดนคนอื่นตำหนิไว้
ผ่านไปหลายเดือนหรือผ่านไปเป็นปีแล้ว ก็ยังกังวลเรื่องดังกล่าวนั้นอยู่
หรือกรณีเคยสอบไม่ผ่าน เคยทำงานบกพร่อง เคยโดนคนอื่นพูดจาไม่ดีใส่
เคยโดนคนอื่นเหยียดหยามดูถูก ฯลฯ และก็มีกรณีอื่น ๆ อีกมากมาย

ในบทความนี้ เราก็จะมาคุยกันว่า เราควรทำอย่างไร
ในกรณีที่โดนเรื่องในอดีตมาตามหลอนให้ทุกข์ใจนะครับ

ประการแรก ก่อนอื่นพึงพิจารณาเสียก่อนครับว่า
ต้นเหตุของเรื่องในอดีตที่ตามหลอนนี้เป็นความบกพร่องของเราไหม และจบไปแล้วหรือยัง
หากต้นเหตุของเรื่องเป็นความบกพร่องของเรา และยังไม่จบ โดยยังต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
เราก็พึงแก้ไขที่ต้นเหตุนั้นเสียก่อน เช่น เราเคยโดนหัวหน้างานตำหนิรุนแรง
เพราะมาทำงานสายเป็นประจำ ทำให้เรากลุ้มใจมาก
แต่ว่าในปัจจุบัน เราเองก็ยังมาสายอยู่ เช่นนี้เราก็ต้องแก้ไขเรื่องมาสายก่อนนะครับ
หรือว่าเราเล่นการพนันและทำให้เราเสียทรัพย์สินไปเยอะ ทำให้เรากลุ้มใจมาก
แต่ว่าในปัจจุบัน เราก็ยังเล่นการพนันอยู่ เช่นนี้เราก็ต้องเลิกเล่นการพนันเสียก่อน
หรือว่าเราประพฤติผิดศีลธรรมใด ๆ จนทำให้มีปัญหาชีวิตและเป็นที่ตำหนิของคนรอบข้าง
แต่ปัจจุบันเราก็ยังประพฤติผิดเช่นนั้นอยู่ เช่นนี้เราก็ต้องแก้ไขด้วยการรักษาศีลรักษาธรรม
และเลิกประพฤติผิดศีลธรรมเสียก่อน ฯลฯ
หากต้นเหตุของเรื่องเป็นความบกพร่องของเรา และยังไม่จบ โดยยังเกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่
ก็เป็นธรรมดานะครับที่บางท่านจะต้องทุกข์ใจไปกับปัญหาดังกล่าวนั้นต่อไปเรื่อย ๆ

ประการที่สอง พิจารณาว่าเราหลงให้ความสำคัญกับตนเองมากเกินไปหรือไม่
ในหลาย ๆ กรณีที่บางท่านทุกข์ใจว่าเรื่องในอดีตมาตามหลอนนั้น
เป็นเพราะเข้าใจว่าคนอื่น ๆ รอบข้างยังคงตำหนิตนเองและยังคงสนใจเรื่องในอดีตของตน
ซึ่งจริง ๆ แล้วคนอื่น ๆ นั้นอาจจะไม่สนใจอะไรแล้วก็ได้ พวกเขาเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว
แต่เราเองไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป
(คล้าย ๆ กับหลงเข้าใจว่าตนเองเป็นดาราดังที่คนอื่นจะต้องมาติดตามสนใจหรืออย่างไร)
เวลาเราเดินไปพบเจอใคร เห็นใครมองมาที่เรา เราก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า
เขาคงจะต้องกำลังคิดเรื่องในอดีตของเราแน่ ๆ
หรือเห็นใครจับกลุ่มคุยกันเงียบ ๆ ก็หลงคิดว่าพวกเขาจะต้องนินทาเราแน่ ๆ
หรือเห็นใครจับกลุ่มคุยหัวเราะกัน ก็หลงคิดว่าพวกเขาจะต้องล้อเราแน่ ๆ
(หลงให้ความสำคัญแก่ตัวเองอย่างแรงจริง ๆ)
หากพิจารณาตนเองตามจริง และเห็นได้ว่าเราเองก็ไม่ได้สำคัญอะไร
คนอื่นเขาจะมาคอยติดตามสนใจเรื่องของเราทำไมกันล่ะ
เขาเอาเวลาไปสนใจเรื่องอื่น ๆ ไม่ดีกว่าหรือ
เช่นนี้แล้วก็อาจจะช่วยลดละเลิกปัญหาความทุกข์ใจดังกล่าวได้

ประการที่สาม พิจารณาว่าเราหลงให้ความสำคัญกับเรื่องในอดีตนั้นมากเกินไปหรือเปล่า
คือบางเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรเลย
แต่เราเองกลับไปคิดและถือเป็นเรื่องใหญ่โตและก็เก็บมาทำให้กลุ้มใจเอง
เช่น เราเผลอพูดไม่ดีกับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นฟังแล้วไม่โกรธอะไรและลืมไปแล้วด้วย
แต่เราเองกลับเก็บมาจำเอาไว้ในใจไม่ยอมลืม ซึ่งเรื่องมันไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรเลย
หรือเคยมีท่านหนึ่งเก็บสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ มาเลี้ยง
พอประมาททำอะไรพลาดไปหน่อยทำให้สัตว์เลี้ยงนั้นตาย ก็กลุ้มใจเรื่องนี้เป็นปีเลย
โดยไม่ได้พิจารณาเลยว่า เรื่องนี้มันเป็นสาระสำคัญแก่ชีวิตขนาดไหน
เวลาที่ท่านนี้เล่าว่าเขากลุ้มใจเรื่องสัตว์เลี้ยงตัวเล็กนี้ตาย
ผมกลับมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องกลุ้มใจที่สำคัญของท่านนี้หรือ
คนอื่น ๆ หลายคนกลุ้มใจเรื่องตกงาน ไม่มีจะกิน พ่อแม่ป่วยหนัก ตนเองป่วยหนัก
ลูกหรือคนในครอบครัวติดยา ลูกสอบตกไม่ตั้งใจเรียน สามีมีเมียน้อย ฯลฯ
แต่ท่านนี้กลุ้มใจกับเรื่องนี้ แล้วก็กลุ้มใจมากเป็นปีเสียด้วย

บางคนกลุ้มใจว่าโดนเพื่อน ๆ นำเรื่องในอดีตมาล้อ หรือเหยียดหยามไม่เลิกเสียที
ทั้ง ๆ ที่เรื่องในอดีตนั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
แต่พอเขาล้อ หรือเหยียดหยามทีไร เราเองก็จ๋อย หรืออาจจะน้ำตาร่วงทุกที
ถามว่าทำไมเขาถึงนำเรื่องนี้มาล้อ หรือแซวไม่เลิกล่ะ
ก็เพราะว่าตัวเราเองยังไม่เลิกให้ความสำคัญกับเรื่องในอดีตนั้นแหละครับ
หากเราเลิกให้ความสำคัญกับเรื่องในอดีตนั้นแล้ว
เขาจะล้อ หรือเหยียดหยามอะไรแล้วเราก็เฉย ๆ ไม่เกิดผลอะไรเลย
คนที่จะล้อ หรือเหยียดหยามนั้นก็จะเบื่อ และเลิกไปเองแหละ
โดยเขาก็จะไปหาเรื่องอื่น ๆ มาล้อ แซว หรือเหยียดหยามเราต่อไป
หรือไม่ก็อาจจะไปหาเรื่องล้อ แซว หรือเหยียดหยามคนอื่น ๆ ต่อไป
ฉะนั้นแล้ว ตัวเราเองนี่แหละที่สร้างเหตุให้คนอื่นหยิบเรื่องในอดีตมากล่าวไม่เลิก

ประการที่สี่ พิจารณาว่าเรายอมรับความจริงแล้วหรือยัง
พิจารณาว่าเรายังอยากจะไปแก้ไขอดีตนั้นอยู่หรือเปล่า
หากเราเองยังไม่ยอมรับความจริง และยังอยากจะไปแก้ไขเรื่องในอดีตนั้นอยู่
เรายังอยากอยู่ว่า อดีตไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ควรจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เช่นนี้ใจเราก็จะย้อนไปคิดเรื่องในอดีตนั้นบ่อย ๆ เพื่อหาทางจะทำให้มันดี
แต่ว่าใครจะไปแก้ไขอดีตได้ล่ะครับ (ยกเว้นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์บางเรื่องซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง)
หากเรายอมรับความจริงในอดีตอย่างที่มันเป็นอย่างเต็มใจแล้ว
เรายอมรับว่าอดีตนั้นเกิดขึ้นแล้วและจบไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ เราไม่ได้ต้องการไปแก้ไขมัน
เช่นนี้แล้วก็ย่อมจะช่วยลดละเลิกปัญหาเรื่องในอดีตมาคอยหลอนใจเราได้

ประการที่ห้า ฝึกที่จะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่กับอดีต
เราพึงเข้าใจว่าอดีตนั้นผ่านไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราไปย้อนทำอะไรในอดีตไม่ได้
การย้อนไปกลุ้มใจคิดเรื่องในอดีตนั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
แต่กลับจะช่วยให้สถานการณ์แย่ลง และเป็นการเสียเวลาชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์
สิ่งที่เราอยู่ด้วยจริง ๆ และสามารถทำอะไรได้จริง ๆ นี้ก็คือ “ปัจจุบัน”
กล่าวคือ เราพึงที่จะอยู่กับปัจจุบัน และพยายามทำปัจจุบันให้ดี
หากทำปัจจุบันไม่ดีแล้ว ปัจจุบันที่ไม่ดีนั้นจะกลายเป็นอดีตที่ไม่ดีแก่เราต่อไปในอนาคต
ซึ่งเมื่อเราอยู่กับปัจจุบัน และพยายามทำปัจจุบันให้ดีแล้ว
เรื่องราวในอดีตจะมาทำให้เรากลุ้มใจไปกับมันไม่ได้ มันจะมาลากเราไปอยู่กับอดีตไม่ได้

ประการที่หก อย่าปล่อยตัวเองให้ว่าง อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
(คำว่า “ว่าง” ในที่นี้ หมายถึง ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรรับผิดชอบ หรือไม่ยุ่ง)
หากเราเป็นคนที่มีเรื่องอะไรต้องทำมากมาย มีภาระหน้าที่รับผิดชอบมาก
เราต้องทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อตแล้ว ก็จะไม่มีเวลาไปทุกข์เรื่องอดีตหรอกครับ
เพราะแค่เรื่องที่ต้องทำในปัจจุบันนั้น ก็หนักหนาพออยู่แล้ว
สมมุตินะว่า ถ้าขณะนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง จะต้องทำคีโม
พ่อเราเป็นโรคหัวใจนอนอยู่โรงพยาบาล จะต้องเตรียมผ่าตัด มีค่าใช้จ่ายสูง
ส่วนแม่เราเป็นโรคอัลไซเมอร์ เราต้องคอยดูแล
รับรองครับว่า เราไม่มีเวลาไปกลุ้มใจในเรื่องอดีตที่จะมาหลอนเราหรอกนะครับ
เพราะแค่วุ่นวายเรื่องปัจจุบันก็จะแย่อยู่แล้ว

ทำอย่างไรจึงจะทราบว่าเรายุ่งหรือไม่ เราว่างหรือไม่
ก็แนะนำให้ลองเขียนตารางเวลาในแต่ละวันออกมาครับ
และพิจารณาว่าในแต่ละวันนั้น เราทำอะไรบ้าง
หากเรายังมีเวลาดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ตเพลิน ๆ
หรือเม้าท์กระจายกับเพื่อน เช่นนี้ก็แสดงว่ามีเวลาว่างแล้วครับ
(หรือว่าเวลางานเรายังมีเวลาเข้าเฟสบุ๊ค เล่นเกม อ่านบทละคร ก็แสดงว่าว่างครับ)
จึงควรที่จะหาอะไรที่มีสาระ มีคุณค่า หรือได้ประโยชน์มาทำดีกว่า
อย่างบางทีเรายิ่งกลุ้มใจอยู่ แต่กลับไปฟังเพลงให้สะเทือนใจหรือย้อนอดีตมากขึ้นไปอีก
หรือทุกข์ใจเรื่องเลิกกับแฟน แต่กลับไปดูละครเรื่องแฟนเลิกกัน มันก็จะลากใจเราไปเรื่อย ๆ

เราก็ควรจะพิจารณาว่าเอาเวลามาทำเรื่องเป็นประโยชน์ดีกว่าไหม เช่น
เราดูแลพ่อแม่หรือคนอื่นในครอบครัวดีแล้วหรือยัง เราพาพ่อแม่ไปวัดทำบุญบ้างไหม
เราพาพ่อแม่ไปกินข้าวนอกบ้าน หรือทำกับข้าวให้ท่านทานบ้างไหม
เรารับผิดชอบเรื่องในบ้านดีหรือยัง ทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน จัดของเรียบร้อยไหม
เราทำงานในที่ทำงานดีหรือยัง งานคั่งค้างที่ทำงานมีเยอะไหม
เราลองหาหนังสือที่มีประโยชน์อื่น ๆ มาอ่าน หรือไปเรียนภาษาอื่น ๆ เพิ่มเติมก็ได้
หรือเรียนปริญญาตรีอีกใบหนึ่งก็ยังได้
หรือไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลืองานกุศลอื่น ๆ ก็ได้ (หากไม่มีงานอาสาสมัครงานกุศลแล้ว
เราสามารถช่วยงานสาธารณประโยชน์ใกล้บ้านก็ได้ เช่น เอาไม้กวาดมากวาดนอกบ้าน
เดินเก็บขยะแถวบ้าน ปลูกต้นไม้บริเวณใกล้บ้าน ฯลฯ)
เรามีหนังสือและซีดีธรรมะที่ยังไม่ได้อ่านไม่ได้ฟังบ้างไหม
เราได้แบ่งเวลาปฏิบัติธรรมทุกวันไหม ได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ทุกวันไหม
(บางท่านอาจจะทุกข์ใจเรื่องในอดีตจนร้องไห้ แต่หากจะร้องไห้ระหว่างปฏิบัติธรรมแล้ว
ก็ให้ร้องไประหว่างสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดินจงกรมนั่นแหละครับ
ยังจะดีกว่า และได้ประโยชน์กว่าไปนั่งร้องไห้แบบเปล่าประโยชน์ในที่ใดทีหนึ่ง)
หากเรายังมีเวลามานั่งกลุ้มใจ ทุกข์ใจ อิน หรือเฮิร์ทกับเรื่องใด ๆ ในอดีตเป็นชั่วโมง ๆ
หรือนั่งนอนร้องไห้เสียใจกับเรื่องในอดีตนั้น ก็แสดงว่าเรายัง “ว่าง” อยู่ครับ

ประการสุดท้าย วิธีการนี้ดีที่สุดนะครับ ก็คือฝึกเจริญสติและปัญญา
โดยหากเมื่อใดใจเราหลงไปคิดเรื่องอดีต หรือเรื่องอดีตมาหลอนใจ ก็ให้มีสติรู้ทัน
ซึ่งเมื่อเรามีสติรู้ทันบ่อย ๆ แล้ว เราก็จะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงได้ว่า
จิตใจของเรานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
โดยสภาพแล้วใจเราไม่เที่ยง และก็ทุกข์อย่างนี้แหละ เราพึงยอมรับมันให้ได้
ซึ่งหากเราลองสังเกตดู ก็จะเห็นได้ว่าเรื่องความสุขในอดีตนั้น อยู่ได้แป๊บเดียวเอง
และเราก็มักจะจำไม่ได้นะครับ เราไม่ค่อยจะไปคิดถึงเท่าไรนัก
ส่วนเรื่องทุกข์ใจ กลุ้มใจ ชวนปวดหัวนั้น อยู่นานเหลือเกิน
แถมยังกลับมาหลอนในใจเราบ่อย ๆ เสียด้วย
หากเราฝึกเจริญสติและปัญญาแล้ว ทุกคราวที่เรื่องในอดีตมาหลอนใจเรานั้น
เราก็มีสติรู้ทัน เท่ากับว่าได้ปฏิบัติธรรมไปด้วย ซึ่งมีได้ประโยชน์มาก ๆ ครับ

บางท่านอาจจะมีคำถามเพิ่มเติมว่า แล้วกรณีที่เรื่องในอดีตไม่หลอนเราแล้ว
แต่ว่าคนรอบข้างมาคอยตอกย้ำ คอยแซว ล้อ หรือเหยียดหยามเราอยู่ล่ะ
เราควรจะทำอย่างไร?

ผมขอแนะนำให้ทำเพียงแค่ ๓ อย่างนะครับ คือ
หนึ่ง - ละเว้นความชั่วทั้งปวง เช่น อย่าไปด่าเขา อย่าไปทะเลาะกับเขา ไม่พูดหยาบ
ไม่พูดส่อเสียด อย่าไปแกล้งเขา อย่าทิ้งหรืออู้งานในหน้าที่ของเรา ฯลฯ
สอง - ทำความดีทั้งปวง เช่น พูดจาสุภาพ มีไมตรีจิตต่อคนอื่น ๆ ช่วยเหลือคนอื่น
ตั้งใจทำงาน ขยันทำงาน รับผิดชอบงานในหน้าที่ให้ดี ฯลฯ
สาม - ทำจิตใจให้ผ่องใส คือ หัดเจริญสติรู้ทันใจที่หลงไปคิดเรื่องอดีต
ฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบัน และทำหน้าที่ตนเองในปัจจุบันให้ดีที่สุด