Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๓๖

มันมาอีกแล้ว

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-136

มันมาอีกแล้วล่ะ ... “มัน” ในที่นี้ ไม่ใช่มันเทศ หรือมันสำปะหลังนะครับ
แต่ผมตั้งใจหมายถึง “ช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่” นั่นเอง
บางท่านอาจจะรู้สึกทำนองว่า “อะไรกัน ผ่านไปแป๊บเดียว จะปีใหม่อีกแล้วเหรอ”
และก็อาจจะรู้สึกว่าเวลาชีวิตได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน
หากท่านใดรู้สึกเช่นนั้นแล้ว ก็พึงระลึกว่าเวลาชีวิตเรานี้สั้นนัก เราไม่ควรประมาท
ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างไร้ประโยชน์
แต่ควรนำเวลาชีวิตที่เหลืออยู่นั้น มาสร้างประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

บางท่านอาจจะมองว่าวันปีใหม่ที่ผ่านมาในแต่ละปีนั้น ไม่ใช่วันเดียวกันหรอกนะ
ยกตัวอย่างเช่น วันปีใหม่ ๒๕๕๕ กับวันปีใหม่ในปีอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ก็เป็นคนละวันกัน
แม้เราจะสมมุติเรียกว่าเป็นวันปีใหม่เหมือนกัน แต่อันที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่วันเดียวกัน
เสมือนกับคำกล่าวที่ว่า คนเราไม่สามารถข้ามแม่น้ำเดียวกันได้สองหน
เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่เราได้ข้ามแม่น้ำนั้นผ่านไปแล้ว
แม่น้ำที่เราข้ามนั้นก็จะไหลไป เปลี่ยนแปลงไป แตกต่างไป
ก็จะไม่ใช่แม่น้ำเดียวกันอีกต่อไป เสมือนกับแต่ละวันซึ่งผ่านไปตามกระแสกาลเวลา
หากจะมองในมุมนี้ ก็จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร
ก็ถือว่าเป็นมุมมองในเชิงธรรมะที่ได้ประโยชน์เช่นกัน

ในขณะที่บางท่านอาจจะรู้สึกว่ากว่าจะผ่านไปปีหนึ่ง ๆ นั้นช่างเหนื่อยยากเหลือเกิน
พอถึงช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็ตั้งความคาดหวังว่าปีใหม่จะต้องดีกว่าปีก่อน
ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ควรพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไปนะครับว่าเรื่องใดที่จะดีกว่าเดิม
หากเป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ดีไว้หรือยังทำอะไรบกพร่องอยู่ ก็ตั้งใจว่าจะต้องปรับปรุงให้ดี
หรือเป็นเรื่องที่เราตั้งใจพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้น ก็ตั้งใจว่าจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป
เช่นนี้ก็สมควรคาดหวังไว้ว่าตั้งใจจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่สำหรับบางท่านที่อายุเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และสุขภาพเริ่มเสื่อมโทรมแล้ว
การจะไปคาดหวังว่าจะสุขภาพต้องดีกว่าปีก่อนนั้น อาจจะเป็นการฝืนความจริงของสังขารเรา
เราอาจจะตั้งใจได้ว่าจะลดละเลิกการทานอาหารที่ทำให้เสียสุขภาพ เราจะออกกำลังกายมากขึ้น
รักษาสุขภาพมากขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม สุขภาพเราก็ย่อมจะเสื่อมถอยไปตามกาลเวลาอยู่ดี

ในช่วงเวลาต้อนรับปีใหม่ ก็มักจะมีการให้ของขวัญแก่กัน
เพื่อแสดงความระลึกถึง เพื่อส่งความสุข หรือเพื่อแสดงความขอบคุณ ฯลฯ
ของขวัญที่จะให้แก่กันนั้นก็พึงเลือกของที่เป็นประโยชน์ ไม่ผิดศีล
และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และครอบครัวของผู้รับนะครับ
ของบางอย่างนั้นมีราคาแพง และให้แล้วก็ยังเป็นโทษทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับด้วย
ก็พึงต้องเลือกให้สิ่งที่สมควร โดยพิจารณาเหตุผล และศีลธรรมด้วย

แต่ทีนี้ เราให้ของขวัญคนอื่นแล้ว ก็อย่าลืมให้ของขวัญแก่ตนเองด้วย
บางท่านก็มัวแต่ห่วงกังวลเรื่องจะให้ของขวัญคนอื่น ๆ โดยไม่ได้สนใจตนเอง
ของขวัญแก่ตนเองก็คือการทำสิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์และเป็นบุญกุศลแก่ชีวิตตนเอง
อะไรก็ตามที่ไม่มีประโยชน์ และเป็นบาปอกุศลก็ควรจะลดละเลิก
ย่อมถือว่าการตั้งใจดังกล่าว และปฏิบัติตามนั้นก็เป็นของขวัญแก่ตนเองได้เช่นกัน
เช่น ให้ศีล สติ สมาธิ และปัญญา หรือให้ความรู้ทางธรรมแก่ตนเองเป็นของขวัญ เป็นต้น

ในช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ชาวโลกส่วนใหญ่ก็มักจะเฉลิมฉลองกัน
แต่หากเราพิจารณาให้ดีแล้ว เวลาผ่านไปในแต่ละปี ก็เท่ากับว่า
เวลาชีวิตของเราผ่านไปอีกปีหนึ่ง หรือเวลาที่เหลือนั้นลดน้อยลงไปอีกปีหนึ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่าเราใกล้ตายกันมากขึ้นอีกหนึ่งปีแล้ว แต่ชาวโลกก็เฉลิมฉลองกัน
ถามว่าหากจะไม่เฉลิมฉลองแล้ว ควรจะทำอะไรดีล่ะ
เห็นว่าก็ควรจะนำเวลามาทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น อาจจะนำเวลามาวางแผนชีวิต โดยพิจารณาทบทวนว่าปีที่ผ่านมานั้น
เราทำอะไรบกพร่องไปบ้าง ควรปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้างไหม
สิ่งสำคัญ ๆ ในชีวิตที่สมควรจะทำนั้น เราได้ทำครบถ้วนเหมาะสมแล้วหรือยัง
ก็วางแผนชีวิตว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็มักจะมีการติดไฟกลางคืนสวยงาม
และก็จะมีการยิงพลุหรือดอกไม้ไฟสวยงามในบางสถานที่นะครับ
เมื่อหลายปีก่อน ผมเองก็ชอบไปเดินถ่ายรูปไฟกลางคืน และถ่ายรูปดอกไม้ไฟ
ถ่ายไปได้สักสองหรือสามปี ผมก็เริ่มมีความรู้สึกว่า
รูปภาพสวย ๆ ทั้งหลายที่ได้ถ่ายไว้เป็นร้อย ๆ ภาพในอดีต ก็ไม่ได้ดูมีความหมายอะไรเท่าไร
เพราะแม้ว่าเราจะถ่ายไว้สวยงามเพียงใดมากมายเพียงใด แต่พอถึงช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว
รูปภาพเก่า ๆ ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงของสะสมเดิม ๆ เท่านั้น
โดยเราเองก็ต้องถูกกิเลสลากให้ออกไปถ่ายรูปใหม่ ๆ ในงานเทศกาลใหม่ ๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

หลังจากได้มาศึกษาธรรมะมากขึ้น แทนที่ผมจะออกไปเดินถ่ายรูปกลางคืน
ผมก็เปลี่ยนมาอยู่บ้านกับพ่อแม่เพื่อข้ามพ้นปีเก่าด้วยกัน
หรือไม่ก็พาพ่อแม่ไปสวดมนต์ที่วัดในยามค่ำคืน ซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์กว่า
ที่ผมจะมัวไปเดินเตร่นอกบ้าน เพื่อไปนับถอยหลังสิบถึงหนึ่ง
(โดยหลงคิดว่าได้นับเลขถอยหลังแล้วจะทำให้มีความสุข)
ผมก็กลับมาอยู่กับพ่อแม่ อยู่กับครอบครัวในช่วงเวลาข้ามพ้นปีใหม่

หลังจากนั้น ต่อมาเมื่อได้มาหัดเจริญสติตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์สอน
เวลาที่ขับรถผ่านไปเห็นไฟกลางคืนสวยงาม และดอกไม้ไฟกลางคืนนั้น
กลับมองเห็นความสวยงามของไฟกลางคืน และดอกไม้ไฟแตกต่างออกไป
โดยความสวยงามของไฟกลางคืน และดอกไม้ไฟไม่ได้สวยงามแบบเดิมอีกแล้ว
แต่กลับเห็นว่าความสวยงามเหล่านั้นเป็นความรู้สึกที่เข้ามาสู่ในใจเราเพียงชั่วคราว

ยกตัวอย่างเช่น ดอกไม้ไฟนั้นยิงไปเพียงชั่วครู่ ก็หายไปหมดแล้ว
ความรู้สึกสวยงามหรือพอใจนั้นเกิดเพียงชั่วครู่ ก็หายไป
ซึ่งก็ต้องพยายามยื้อรักษาไว้ โดยเขาก็ยิงดอกไม้ไฟลูกต่อ ๆ ไป ยิงไปเรื่อย ๆ
เราเองก็มองดูดอกไม้ไฟไปเรื่อย ๆ พยายามยื้อรักษาความรู้สึกสวยงามนั้นไว้
แต่ท้ายที่สุด เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ดอกไม้ไฟลูกสุดท้ายก็ต้องหมด และก็ต้องดับ
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ดูดอกไม้ไฟติดต่อกันหลาย ๆ ลูก ก็ย่อมรู้สึกเบื่อหน่าย
ไม่ได้รู้สึกสวยงามเหมือนที่ดูตอนแรกแล้ว
บางทีนะครับ ดูไปนาน ๆ แล้ว กลับจะรู้สึกว่า “เมื่อไรมันจะยิงหมดเสียทีนะ”

หากจะพิจารณาไฟกลางคืนที่เราเห็นว่าสวยงามก็ดี เราไปดูตอนแรกก็รู้สึกสวยงาม
แต่หากให้เราเดินดูไปเรื่อย ๆ ทั้งคืน มันก็ไม่ได้สวยตลอดแล้วล่ะ
หรือเราไปดูวันแรก ก็รู้สึกสวยงาม แต่ให้เราไปวันที่สอง วันที่สาม เราก็ไม่ได้อยากไปแล้ว
ความสวยงามของไฟกลางคืนก็ไม่เที่ยง และหายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่แน่ใจว่าคุยกันอย่างนี้แล้ว จะทำให้บางท่านรู้สึกกร่อยลงสำหรับช่วงเทศกาล
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึงนี้หรือเปล่า แต่ก็แนะนำให้นำไปพิจารณาดูนะครับว่า
รู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า หรือรู้สึกว่าน่าสนุกสนาน และเพลิดเพลินใจลดลงบ้างไหม

บางท่านอาจจะรู้สึกว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นช่างสนุกสนานมากมาย
แต่พอหมดช่วงเทศกาล และเริ่มเปิดทำงานมาวันแรก ท่านก็ต้องไปทำงานอีกแล้ว
ใจอาจจะเริ่มรู้สึกเบื่ออีกแล้ว ความสนุกสนานทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลนั้น
ก็ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน และสูญหายไปอย่างรวดเร็ว

หากจะมองวันสิ้นปีเก่า หรือวันปีใหม่ให้ดีแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างจากวันอื่น ๆ หรอกครับ
มันก็เป็นเพียงกลางวัน และกลางคืนเหมือนกันนั่นเอง โดยก็มียี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกัน
แต่ว่ามนุษย์เราก็กำหนดสมมุติบัญญัติกันว่าเป็นวันสิ้นปี และวันปีใหม่
จากนั้น มนุษย์เราก็กำหนดคุณค่าของมัน ให้ความสำคัญกับมัน
แล้วมันก็กลับมาผลักดัน และชี้นำความประพฤติของมนุษย์เราในแต่ละวันนั้น
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะครับที่มนุษย์กำหนดวันสิ้นปีและวันปีใหม่
หลังจากนั้น วันสิ้นปีและวันปีใหม่ก็กลับมากำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในวันนั้น ๆ

ถึงแม้จะเป็นสมมุติบัญญัติก็ตาม ก็พึงปฏิบัติต่อสมมุติบัญญัติอย่างถูกต้องนะครับ
โดยก็พึงนำสมมุติบัญญัติมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เช่น นำเวลามาทบทวน และพิจารณาวางแผนปรับปรุงชีวิตตนเอง
หรือใช้เวลาไปทำประโยชน์อื่น ๆ เช่น ไปทำทาน ถือศีล ภาวนา ศึกษาธรรมะ ฯลฯ
ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะนำเวลาและเงินไปเลี้ยงฉลองอะไรวุ่นวาย
เพียงเพื่อสนองความต้องการความสนุกสนานที่จะผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้น
หรือบางท่านอาจจะนำเวลามาน้อยใจนึกถึงใครบ้างคน
ทำให้ใจตนเองเศร้าหมองเป็นอกุศลอย่างไม่จำเป็น
เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์เหล่านั้นก็สมควรที่จะงดเสียเถิดครับ

พวกเราทุกท่านก็ไม่พึงประมาทครับ
เผื่อว่าเราไม่สามารถจะจบกิจในชาตินี้ได้ และต้องเดินทางไกลกันต่อไป
ก็พึงใช้เวลาสร้างบุญกุศล เตรียมตุนเสบียง และบารมีทั้งหลายติดตัวไว้ก่อน
ส่วนอะไรทั้งหลายที่ไม่ดี อะไรที่เป็นอกุศล ก็พึงลดละเลิกเสียทั้งหมด

เพื่อนธรรมจารีตอนนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายของปี ๒๕๕๔ แล้ว
ในท้ายนี้ ก็ขอส่งท้ายปีด้วยการอวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เป็นสัมมาทิฏฐิ ได้มีโอกาสศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
และบรรลุธรรมตามสมควรแก่ธรรมทุกท่านครับ