Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๓๑

ตรวจสอบใจในยามอุทกภัย

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-131

ในช่วงเวลานี้ ปัญหาอุทกภัยได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทยอย่างมากมาย
พวกเราหลาย ๆ ท่านที่มีจิตใจเมตตาก็ได้ร่วมบริจาคสิ่งของและให้ความช่วยเหลือกัน
อย่างแพร่หลาย ทั้งในส่วนของภาครัฐบาล และภาคเอกชน
บางท่านอาจจะบอกว่าตนเองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้
แต่จริง ๆ แล้ว การร่วมบริจาคหรือช่วยเหลือเพียงคนละเล็กคนละน้อยก็สามารถทำได้นะครับ
กล่องรับบริจาคหรือบัญชีธนาคารที่รับบริจาคเงินช่วยเหลือนี้ก็มีหลายแห่ง
แม้ว่าเราจะไม่มีเงินเท่าไรนัก เพียงร่วมทำบุญช่วยเหลือคนละเล็กคนละน้อยตามกำลัง
ก็ถือว่าได้ร่วมช่วยเหลือแล้ว

หากไม่มีเลยจริง ๆ ก็ดี การไปร่วมช่วยคนอื่น ๆ แพ็คหรือห่อถุงบริจาคก็ยังทำได้
หรือหากไม่สามารถจะร่วมทำบุญหรือช่วยเหลือคนอื่นได้เลยจริง ๆ
เพียงเราทำจิตใจแผ่เมตตา สงสาร ห่วงใย หรือส่งกำลังใจให้กัน
และพยายามทำหน้าที่ของเราในแต่ละวันให้ดี ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือทางหนึ่ง

ที่ผ่านมา ผมก็ได้รับอีเมล์แนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวป้องกันน้ำท่วมบ้านอยู่บ้าง
ได้ลองอ่าน ๆ ดูแล้ว ก็เห็นมีแนะนำให้เตรียมกระสอบทรายและผ้าพลาสติกมาจัดวาง
เพื่อป้องกันน้ำ หากมีท่อระบายน้ำก็ให้อุดไว้ด้วย เพื่อป้องกันน้ำไหลมาทางท่อระบายน้ำ
อ่าน ๆ ดูแล้ว ก็เห็นว่าบางอย่างน่าจะทำไม่ได้แล้วล่ะ
เช่นหากจะให้ผมจะหากระสอบทรายในระหว่างนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสียแล้ว
โดยที่บ้านผมเองก็ไม่ได้มีเก็บตุนกระสอบทรายไว้เสียด้วย
การที่จะไปขโมยกระสอบทรายของคนอื่นหรือของส่วนกลางเพื่อมาวางที่บ้านตนเองนี้
ก็ผิดศีลข้อลักขโมย เป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะทำอย่างยิ่ง
น้ำท่วมบ้าน ท่วมเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็ยังแห้งได้
และเราก็ยังจะพอซ่อมแซมบ้านเราได้ ต่อให้น้ำจะซัดพาบ้านเราไปด้วย
เราก็ยังจะค่อย ๆ ทำงานเก็บเงิน หรือกู้เงินมาสร้างบ้านใหม่ได้
ไม่มีบ้านอยู่จริง ๆ ก็ไปเช่าบ้านอยู่ หรือเช่าหอพักอยู่ หรือไปขอนอนตามวัดก็ยังได้
แต่หากไปขโมยกระสอบทรายคนอื่นหรือของส่วนกลางแล้ว
จะนำพาให้เราไปอยู่อบายภูมิเนิ่นนาน ก็เห็นว่าไม่คุ้มด้วยประการทั้งปวง

สมมุติว่าผมจะหากระสอบทรายมาวางกั้นได้ก็ตาม ก็ไม่แน่ใจว่าน้ำจะมาสูงแค่ไหน
อาจจะมาแบบสูงมากเกินระดับกระสอบทรายที่ผมกั้นไว้ก็ได้
นอกจากนี้ แม้จะกั้นกระสอบทรายไว้แล้วก็ตาม น้ำก็อาจจะซึมเข้าบ้านตามกำแพง
หรือตามรูตามท่อต่าง ๆ ได้ และน้ำฝนก็ยังตกเข้ามาในบ้านได้
ทีนี้ เราไม่มีช่องทางระบายน้ำออกเพราะอุดท่อน้ำไว้หมดแล้ว
จะต้องหาวิธีการสูบน้ำออก ซึ่งเครื่องสูบน้ำก็ไม่มี
ต่อให้มีเครื่องสูบน้ำก็ไม่แน่ว่าหากน้ำท่วมเยอะ ๆ แล้วจะมีไฟฟ้าให้เราใช้
จะวิดน้ำออก ก็ไม่รู้ว่าจะต้องวิดเท่าไร เกิดทำให้ร่างกายเจ็บหนัก ก็ไม่คุ้ม
จะเอากระดูกสันหลังตัวเองไปแลกกับป้องกันบ้านน้ำท่วม ก็ไม่น่าจะคุ้มค่าเลย
หรือบางทีกั้นน้ำไว้แล้ว น้ำข้างนอกสูงมาก แต่กำแพงบ้านไม่แข็งแรง
ก็อาจจะทำให้กำแพงบ้านแตกหรือพังเสียอีก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่
อ่านคำแนะนำในอีเมล์ที่ส่งมาแล้ว คิดไปคิดมาก็ชวนกลุ้มนะครับ
ข้อแนะนำเขาก็ดีนะ แต่ว่าผมเองทำไม่ได้น่ะสิ

แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว ก็ทำใจได้นะครับว่า เพื่อน ๆ ร่วมประเทศก็ประสบชะตากรรมน้ำท่วม
อยู่กันอย่างมากมาย หากบ้านผมจะต้องประสบชะตากรรมน้ำท่วมด้วยอีกสักบ้านหนึ่ง
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวถึงขนาดคอขาดบาดตายอะไร
ผมก็วางแผนเพียงว่าเตรียมน้ำดื่ม อาหารแห้ง และถุงขยะให้เพียงพอก็แล้วกัน
ที่เหลือจากนี้ ก็ยึดถือเพียงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งล่ะครับ

ที่ผมบอกว่ายึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนี้
โปรดอย่าเข้าใจว่าผมจะทำการบวงสรวงขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองไม่ให้น้ำท่วมบ้าน
หรือคุ้มครองไม่ให้ฝนตกหนัก หรือไม่ให้น้ำไหลมาที่จังหวัดนนทบุรีที่ผมอยู่นะครับ
เพราะในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว แม้กระทั่งวัดวาอารามทั้งหลายที่มีพระพุทธรูปใหญ่ ๆ
มีตู้พระไตรปิฎก มีกุฏิสงฆ์ มีรูปหล่อเทพเทวดา หรือแม้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก็ตาม
ก็ยังน้ำท่วมสูงเลย แล้วบ้านเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ไม่มีหรือมีน้อยกว่าซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะรอดได้หรือ

ที่บอกว่ายึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนั้น
ก็คือว่ายึดถือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั่นล่ะครับ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ
ยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ และประพฤติทาน ศีล และภาวนาเข้าไว้
ส่วนอะไรที่จะเกิดขึ้นนั้น ก็ย่อมจะเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
หากมันจะมีเหตุที่จะต้องเกิด มันก็เกิด
หากเราป้องกันไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องไปทุกข์ใจกับมันด้วยล่ะ

หากเราจะลองพิจารณาให้ดีแล้ว ในยามที่ประสบอุทกภัยเช่นนี้
น้ำท่วมบ้านเรายังไงก็ไม่มีทางท่วมมาถึงใจเราได้
และก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับว่าเราปล่อยให้อกุศลมาท่วมใจเรา
ฉะนั้นแล้ว เราลองมาตรวจสอบตนเองกันดูไหมครับ

ในยามที่เราได้เห็นคนอื่น ๆ ประสบอุทกภัยร้ายแรงนี้ เรารู้สึกอย่างไร
เราห่วงแต่ตนเองว่าเราจะป้องกันบ้านเราอย่างไร หรือเราห่วงใยสงสารคนอื่น
เราคิดอยากจะช่วยเหลือคนอื่น และพิจารณาว่าจะช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร

เราเห็นบ้างไหมว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันไม่เที่ยง
ที่ว่ามีความสุขอยู่ดี ๆ แต่จู่ ๆ มาวันหนึ่งก็อาจจะไม่สุขแล้วก็ได้
อยู่ดี ๆ บ้านเราก็อาจจะน้ำท่วมหนักและเราต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นก็ได้
กลับมาบ้านอีกที ก็อาจจะมีคนอื่นมาย้ายสิ่งของในบ้านไปหมดด้วยก็ได้
แล้วเราจะฝากความสุขในชีวิตของเราไว้กับบ้านเราได้หรือ
จะฝากไว้กับสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านได้หรือ

เราได้เห็นหรือได้ยินข่าวน้ำท่วมแล้ว เราได้ระลึกถึงมรณานุสติบ่อยขึ้นบ้างไหม
จริง ๆ แล้ว ภัยพิบัติธรรมชาติเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิดนะครับ
บางคนบอกว่าตนเองมีบ้านสองชั้นหรือสามชั้นสามารถขึ้นไปชั้นสองชั้นสามได้
แต่หากสมมุติว่าเขื่อนใหญ่ ๆ เกิดแตกขึ้นมา สามชั้นก็อาจจะไม่พอนะครับ
บางคนบอกว่าตนเองอยู่ในห้องชุดในอาคารสูง จึงไม่กลัวน้ำท่วมหรอก
แต่หากเปลี่ยนจากน้ำท่วมเป็นแผ่นดินไหวหนัก ๆ แล้ว ตึกสูงก็จะไปก่อนคนอื่น ๆ
เพราะฉะนั้นแล้ว ภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งบอกว่าเพื่อนที่อเมริกาก็บอกว่าอากาศผิดเพี้ยนมากเลยในปีนี้
บางคนก็กังวลมากเลยว่าปี 2012 นี้จะเกิดอะไรรุนแรงเหมือนในภาพยนตร์หรือเปล่า
ผมก็ให้ความเห็นว่าหากคนที่กังวลนั้นไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง 2012 แล้ว
ชีวิตเขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้นะ ทีนี้พอไปชมและรับทราบเรื่องราวมาแล้ว
ทำใจไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ก็ทำให้กังวลกลุ้มใจเสียเปล่า ๆ

เคยถามตัวเองบ้างไหมครับว่า สมมุติว่าจะเกิดอุทกภัยที่ร้ายแรงในบริเวณบ้านเรา
ไฟฟ้าที่บ้านจะดับหลายวัน อาหารและความช่วยเหลืออาจจะไม่เพียงพอ
หรืออาจจะมาไม่ถึงเรา หรือสมมุติว่าเราต้องไปติดอยู่ในที่ไหนสักแห่ง
แล้วจู่ ๆ น้ำท่วมก็ไหลบ่ามาในบริเวณที่เราอยู่ และทำเราให้ติดอยู่ในที่นั้น
ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ในทั้งสองกรณีนั้น เรามีโทรศัพท์มือถืออยู่
เหลือแบตเตอรี่ไม่เยอะ ประกอบกับเครือข่ายแน่นเพราะคนโทรเยอะมาก
เราจะมีโอกาสโทรศัพท์ได้เพียงห้าครั้ง โดยโทรไปหาคนห้าคน
คนแรก ให้เราโทรไปขอโทษเขา ในสิ่งที่เราทำผิดต่อเขาและค้างคาใจเรา
คนที่สอง ให้เราโทรไปให้อภัยเขา ในสิ่งที่เขาทำผิดต่อเรา และเราอยากจะบอกให้อภัย
คนที่สาม ให้เราโทรไปบอกรักเขา บอกความรู้สึกในใจต่อเขา
คนที่สี่ ให้เราโทรไปกล่าวขอบคุณเขา ในสิ่งที่เขาช่วยเหลือและเรายังไม่ได้ขอบคุณ
คนที่ห้า ให้เราโทรไปสั่งเสียว่าหากเราไม่อยู่แล้ว จะฝากฝังให้เขาดูแลสิ่งต่าง ๆ อย่างไร

หากเรายังมีห้าคนนี้อยู่ในใจแล้ว จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อนหรอกครับ
เราโทรไปได้ทันที ณ บัดนี้ที่เรามีโอกาสเลย
หากเรายังรีรออยู่ ก็เรียกว่าเราประมาทแล้วล่ะ
แน่ใจหรือว่าจะมีโอกาสได้โทรไปบอกเมื่อถึงเวลาจริง ๆ
จริง ๆ แล้วคำถามที่ว่าให้โทรได้ห้าครั้ง และโทรหาได้ห้าคนนี้ ถือว่ายังง่ายนะครับ
หากลองเปลี่ยนเป็นว่าให้เราโทรหาได้แค่คนเดียวและครั้งเดียว โดยคุยได้แค่ประโยคเดียวล่ะ
ลองพิจารณานะครับว่า เราจะโทรหาใคร และจะพูดประโยคว่าอะไร

แทนที่เราจะต้องมัวไปรอให้เหตุการณ์ดังกล่าวมาถึง
ซึ่งก็ไม่เห็นเหตุผลหรือประโยชน์ใด ๆ เลยนะครับ
ผมก็เห็นแต่ความเสี่ยง และโทษเท่านั้นเอง เราก็พึงบอกเขาเสียแต่บัดนี้เถิด
(หากท่านไหนตอบกับตัวเองได้ว่า ไม่จำเป็นต้องโทรหาใครเลย
เพราะได้บอกไปหมดแล้ว ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ)

ลองพิจารณาตนเองนะครับว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อุทกภัยนี้แล้ว
เราได้ทำทานหรือได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ (ที่ประสบทุกข์มากกว่าเรา) มากขึ้นหรือน้อยลง
มีศีลแข็งแรงขึ้นหรืออ่อนแอลง มีจิตใจที่เป็นกุศลบ่อยมากขึ้นหรือเป็นอกุศลบ่อยมากขึ้น
มีสติเกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นหรือน้อยลง มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์มากขึ้นหรือน้อยลง
เราดำรงอยู่ในความประมาท หรือในความไม่ประมาทมากขึ้น
เรื่องตระเตรียมป้องกันบ้านตนเอง หรือจะเตรียมเสบียงเตรียมของเผื่อน้ำท่วม
ก็ทำกันไปนะครับ แต่อย่าลืมพิจารณาตรวจสอบใจเรา เพื่อป้องกันรักษาใจตนเองด้วย
ไหน ๆ น้ำก็ท่วมบ้านเรา และทุกข์ท่วมท้นประเทศแล้ว ก็ไม่ควรให้อกุศลมาท่วมใจเราด้วย
น้ำนั้นท่วมได้แต่กายภายนอก แต่น้ำไม่สามารถท่วมมาถึงใจเราได้นะครับ