เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๔
วันมาฆบูชา
วันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นี้เป็น “วันมาฆบูชา” โดยถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา
ซึ่งแต่เดิมนั้น ในประเทศไทยไม่ได้มีจัดพิธีการทางพระพุทธศาสนาในวันมาฆบูชา
จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
โดยพระองค์ได้ทรงดำริว่า เหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือนสามคือ “วันมาฆบูชา” นี้
เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง อันควรที่จะมีการประกอบพิธีการทางพระพุทธศาสนา
เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ทรงโปรดให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น
จนกระทั่งต่อมา การจัดพิธีงานมาฆบูชาจึงได้เป็นที่นิยมแพร่หลายขยายไปทั่วประเทศ
โดยในปัจจุบัน “วันมาฆบูชา” ได้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย และถือเป็นวันสำคัญ
ในพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย และได้มีการประกอบพิธีการทางศาสนาไปทั่วประเทศ
เวลาที่พวกเราระลึกนึกถึงวันมาฆบูชานั้น บางท่านก็อาจจะนึกถึงเพียงว่า
วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมรวมกันโดยมิได้นัดหมาย
เสมือนกับว่าจำได้แต่เพียงเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งปาฏิหาริย์
ส่วนเรื่องธรรมะทั้งหลายที่เกี่ยวกับวันมาฆบูชานั้นก็จำไม่ได้แล้ว
ในที่นี้จึงขออธิบายเกี่ยวกับวันมาฆบูชานะครับ เพื่อประโยชน์แห่งความศรัทธาเลื่อมใส
และเพื่อประโยชน์ในเรื่องเนื้อหาธรรมะที่จะได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติกันต่อไป
“วันมาฆบูชา” ถือเป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา เนื่องด้วยเกิดเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้คือ
๑. เป็นวัน “จาตุรงคสันนิบาต” ซึ่งได้มีขึ้น ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร
(ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้มาแล้วเป็นระยะเวลา ๙ เดือน)
๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์"
ซึ่งถือเป็นหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
๓. เป็นวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงปลงพระชนมายุสังขาร
(ซึ่งในส่วนของเรื่องพระพุทธองค์ได้ทรงปลงพระชนมายุสังขารนั้น
ผมขออนุญาตว่าจะละไว้ โดยไม่กล่าวโดยละเอียดในที่นี้นะครับ)
“จาตุรงคสันนิบาต” นั้นหมายความว่า การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ ได้แก่
๑. เป็นวันที่ “ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์” คือ วันเพ็ญเดือนสาม (จึงเรียกว่า “มาฆบูชา”)
๒. พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมรวมกันโดยมิได้นัดหมาย
๓. พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้ “อภิญญา ๖”
(อภิญญา ๖ ได้แก่ “อิทธิวิธิ” คือแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ “ทิพพโสต” คือหูทิพย์
“เจโตปริยญาณ” คือทายใจคนอื่นได้ “ปุพเพนิวาสานุสติ” คือ ระลึกชาติได้
“ทิพพจักขุ” คือ ตาทิพย์ และ “อาสวักขยญาณ” คือ ญาณที่ทำอาสวะกิเลสสิ้นไป)
๔. พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดเหล่านั้น ล้วนแต่เป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”
กล่าวคือได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
(วิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าประทานด้วยพระองค์เองคือ ด้วยพระองค์เปล่งพระวาจาว่า
“ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด”
ซึ่งวิธีนี้ ท่านได้ประทานอุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นบุคคลแรก)
พวกเราบางท่านก็มักจะจำได้เฉพาะเรื่อง “วันจาตุรงคสันนิบาต” นี้นะครับว่า
ได้มีพระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมรวมกันโดยมิได้นัดหมายดังที่กล่าวแล้ว
แต่แท้ที่จริงแล้ว ส่วนที่สำคัญมาก ๆ กับพวกเราชาวพุทธศาสนิกชนนั้น ได้แก่
การที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” อันถือเป็นการประกาศหลักธรรม
และคำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่ร่วมประชุมในวันนั้น
ได้นำไปสั่งสอนและเผยแพร่ต่อไป และถือเป็นเนื้อหาธรรมะอันเป็นประโยชน์แก่
การประพฤติปฏิบัติของชาวพุทธศาสนิกชนด้วย
พวกเราบางท่านอาจจะไม่ทราบว่า คำสอนใน “โอวาทปาฏิโมกข์” นั้นมีอะไรบ้าง
ผมก็ขอแนะนำให้เราพิจารณาตามบทสวด “โอวาทปาฏิโมกขคาถา” นะครับ
โดยมีเนื้อความว่า
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง (การไม่ทำบาปทั้งปวง)
กุสะลัสสูปะสัมปะทา (การทำกุศลให้ถึงพร้อม)
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง (การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ)
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง (ธรรม ๓ อย่างนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย)
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา (ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง)
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา (ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง)
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี (ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย)
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต (ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย)
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต (การไม่พูดร้าย, การไม่ทำร้าย)
ปาติโมกเข จะ สังวะโร (การสำรวมในปาติโมกข์)
มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง (ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค)
ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง (การนอนการนั่งในที่อันสงัด)
อะธิจิตเต จะ อาโยโค (ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง)
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง (ธรรม ๖ อย่างนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย)
“โอวาทปาฏิโมกข์” นี้ถือเป็นคำสอนที่เป็นหลักที่สำคัญในพระพุทธศาสนานะครับ
ในโอกาสที่วันมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบครบอีกครั้งหนึ่ง
จึงใคร่ขอแนะนำให้พวกเราได้สอบทานตนเองว่า
พวกเราได้ปฏิบัติตามคำสอน “โอวาทปาฏิโมกข์” ไว้ครบถ้วนและสมควรแก่ธรรมหรือไม่ เพียงไร
และได้น้อมนำคำสอน “โอวาทปาฏิโมกข์” นี้ไปปฏิบัติอย่างเข้มแข็งต่อไปเพื่อเป็น “ปฏิบัติบูชา” ครับ
+ + + + + + + + + + + + + + + + + +
อ้างอิง
๑. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ (ฉบับชำระ-เพิ่มเติมช่วงที่ ๑)
โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต)
๒. คู่มือสวดมนต์แปล ฉบับอุบาสก-อุบาสิกา วัดสังฆทาน
๓. เว็บไซต์ http://th.wikipedia.org ค้นหาคำว่า “วันมาฆบูชา”