Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๔๐๐

ngodngam1 

 งดงาม

  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

โทษของโทสะ

 

           dhammajaree400


ในงานพิธีประกาศรางวัลออสการ์ ๒๐๒๒ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา
ได้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นข่าวสำคัญไปทั่วโลก ได้แก่
“คริส ร็อก” ซึ่งเป็นพิธีกรของานพิธีประกาศรางวัลออสการ์ ๒๐๒๒
ได้กล่าวมุกตลกล้อเลียน “จาดา พิงเก็ตต์ สมิธ”
ซึ่งเป็นภรรยาของดารานักแสดงชื่อดัง “วิล สมิธ”
เกี่ยวกับการโกนศีรษะของ จาดา พิงเก็ตต์ สมิธ
ที่เกิดจากอาการป่วยผมร่วงจากโรคผมร่วงเป็นหย่อม
หลังจากนั้น วิล สมิธ ได้เดินเข้าไปตบหน้า คริส ร็อก กลางเวทีงานออสการ์
ซึ่งทำให้บรรดาผู้ชมในสถานที่จัดงานงานพิธีประกาศรางวัลออสการ์
และผู้ชมทางบ้านต่างพากันตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก

หลังจากนั้น วิล สมิธ ได้ขึ้นกล่าวในฐานะผู้ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
โดยเขาได้กล่าวขอโทษทางสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ของสหรัฐ
ซึ่งเป็นผู้จัดงานมอบรางวัลออสการ์
และกล่าวขอโทษเพื่อน ๆ นักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล
https://www.prachachat.net/world-news/news-896449
ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก
โดยบางส่วนเห็นด้วยกับการกระทำของวิล สมิธ
พร้อมระบุว่าการล้อเลียนอัตลักษณ์ของผู้อื่นของ คริส ร็อก สมควรที่จะโดนตอบกลับบ้าง
บางส่วนมองว่าสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีอื่น โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
และปล่อยให้สังคมเป็นผู้ลงโทษ คริส ร็อก เอง
ในขณะที่บางส่วนได้เรียกร้องให้ยึดรางวัลออสการ์คืนจาก วิล สมิธ
เพราะมองว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคม
https://mgronline.com/entertainment/detail/9650000030130

จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเมื่อโทสะได้เข้าครอบงำแล้ว
ก็ทำให้ วิล สมิธ พลาดทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ และส่งผลเสียแก่เขาเอง
เราจึงย่อมเห็นได้ว่า โทสะ ก่อให้เกิดโทษ และไม่ควรปล่อยให้เข้าครอบงำใจ
ใน “โกธนาสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรองสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้
เป็นความมุ่งหมายของคนผู้เป็นข้าศึกกัน เป็นความต้องการของคนผู้เป็นข้าศึกกัน
ย่อมมาถึงหญิงหรือชายผู้มีความโกรธ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้จะอาบน้ำ ไล้ทา ตัดผม โกนหนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วก็ตาม
แต่ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้จะนอนบนบัลลังก์อันลาดด้วยผ้าขนสัตว์ ลาดด้วยผ้าขาวเนื้ออ่อน
ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีผ้าดาดเพดาน
มีหมอนหนุนศีรษะและหนุนเท้าแดงทั้งสองข้างก็ตาม
แต่ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมนอนเป็นทุกข์

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้จะถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์
แม้ถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็สำคัญว่า เราถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
ธรรมเหล่านี้อันคนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำถือเอาแล้ว เป็นข้าศึกแก่กันและกัน
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้จะมีโภคะที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมได้ด้วยกำลังแขน
อาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม
พระราชาทั้งหลายย่อมริบโภคะของคนขี้โกรธเข้าพระคลังหลวง

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้จะได้ยศมาเพราะความไม่ประมาท ก็เสื่อมจากยศนั้นได้

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว
แม้เขาจะมีมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตเหล่านั้น
ก็เว้นเขาเสียห่างไกล

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว ย่อมประพฤติทุจริต
ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นความมุ่งหมายของคนผู้เป็นข้าศึกกัน
เป็นความต้องการของคนผู้เป็นข้าศึกกัน ย่อมมาถึงหญิงหรือชายผู้มีความโกรธ

หลังจากนั้นแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาว่า
คนโกรธมีผิวพรรณทราม ย่อมนอนเป็นทุกข์
ถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว กลับปฏิบัติสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์
ทำปาณาติบาตด้วยกายและวาจา ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์
ผู้มัวเมาเพราะความโกรธ ย่อมถึงความไม่มียศ
ญาติมิตรและสหาย ย่อมเว้นคนโกรธเสียห่างไกล
คนผู้โกรธย่อมไม่รู้จักความเจริญ ทำจิตให้กำเริบ
ภัยที่เกิดมาจากภายในนั้น คนผู้โกรธย่อมไม่รู้สึก
คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ ไม่เห็นธรรม
ความโกรธย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น
คนผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย
ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้
คนผู้โกรธย่อมแสดงความเก้อยากก่อน เหมือนไฟแสดงควันก่อน
ในกาลใด ความโกรธเกิดขึ้น คนย่อมโกรธ
ในกาลนั้น คนนั้นไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ และไม่มีความเคารพ
คนที่ถูกความโกรธครอบงำย่อมไม่มีความสว่างแม้แต่น้อยเลย
กรรมใดยังห่างไกลจากธรรม อันให้เกิดความเดือดร้อน เราจักบอกกรรมเหล่านั้น
เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้นไปตามลำดับ คนโกรธฆ่าบิดาก็ได้
ฆ่ามารดาของตนก็ได้ ฆ่าพระขีณาสพก็ได้ ฆ่าปุถุชนก็ได้
ลูกที่มารดาเลี้ยงไว้จนได้ลืมตาดูโลกนี้ ลูกเช่นนั้นกิเลสหยาบช้า
โกรธขึ้นมาย่อมฆ่าแม้มารดานั้นผู้ให้ชีวิตความเป็นอยู่ได้
จริงอยู่ สัตว์เหล่านั้นมีตนเป็นเครื่องเปรียบเทียบ เพราะตนเป็นที่รักอย่างยิ่ง
คนโกรธหมกมุ่นในรูปต่าง ๆ ย่อมฆ่าตัวเองได้เพราะเหตุต่างๆ
ย่อมฆ่าตัวเองด้วยดาบบ้าง กินยาพิษบ้าง เอาเชือกผูกคอตายบ้าง โดดเขาตายบ้าง
คนเหล่านั้นเมื่อกระทำกรรมอันมีแต่ความเสื่อมและทำลายตนก็ไม่รู้สึก
ความเสื่อมเกิดแต่ความโกรธ ตามที่กล่าวมานี้ เป็นบ่วงของมัจจุราช มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย
บุคคลผู้มักโกรธ มีการฝึกตนคือมีปัญญา ความเพียรและสัมมาทิฐิ พึงตัดความโกรธนั้นขาดได้
บัณฑิตพึงตัดอกุศลธรรมแต่ละอย่างเสียให้ขาด พึงศึกษาในธรรมเหมือนอย่างนั้น
เธอทั้งหลายปรารถนาอยู่ว่าขอความเป็นผู้เก้อยากอย่าได้มีแก่เราทั้งหลาย
เธอทั้งหลายเป็นผู้ปราศจากความโกรธ ไม่มีความคับแค้นใจ ปราศจากความโลภ
ไม่มีความริษยา ฝึกฝนตนแล้ว ละความโกรธได้เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=2036&Z=2138&pagebreak=0

ในอรรถกถาของ “โทสสูตร” (ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต) ได้สอนว่า
คนลามกเท่านั้น โกรธตอบผู้ที่โกรธ
ผู้ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธ ย่อมชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
ผู้ที่รู้ผู้อื่นโกรธ เป็นผู้มีสติสงบระงับได้ ชื่อว่า ประพฤติประโยชน์สองฝ่าย
คือทั้งของตนและทั้งของคนอื่น

คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ คนโกรธย่อมไม่เห็นธรรม
พึงละความโกรธ พึงละมานะ พึงก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง
ความโกรธทำให้เกิดความพินาศความโกรธทำให้จิตกำเริบ
บุคคลฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข
บุคคลฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมไม่เศร้าโศก
ความโกรธมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน
ท่านผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ท่านจงงดโทษเสียเถิด
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่มีความโกรธเป็นกำลัง
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=180

ตามพระธรรมคำสอนข้างต้น ก็ย่อมจะเห็นได้ว่า โทสะ หรือความโกรธ นั้น
ไม่ได้ก่อประโยชน์ และเป็นโทษ ทำให้เกิดความพินาศครับ
โดยเราทั้งหลายก็พึงที่จะลดละโทสะ ไม่ปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำใจ
อนึ่ง โทสะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าไม่พอใจเสมอไป
แต่ว่าโทสะเกิดขึ้นจากความรักก็ได้

ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต มหาวรรคที่ ๕
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๔ ประการนี้ย่อมเกิด
๔ ประการเป็นไฉน คือ ความรักย่อมเกิดเพราะความรัก ๑ โทสะย่อมเกิดเพราะความรัก ๑
ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะ ๑ โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะ ๑

ภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร
บุคคลในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคล
คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่รักนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
เขาย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเรา
ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
เขาย่อมเกิดความรักในคนเหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร
บุคคลในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคล
คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลนั้นด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเรา
ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร
บุคคลในโลกนี้ไม่เป็นที่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล
คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจของเรา ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
เขาย่อมเกิดความรักใคร่ในคนเหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร
บุคคลในโลกนี้ไม่เป็นที่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล
คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อคนที่ไม่น่าปรารถนา
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของเรา ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
เขาย่อมเกิดโทสะในบุคคลเหล่านั้น
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=4991&Z=5844&pagebreak=0