Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๓๗๑

ngodngam1 

 งดงาม  

  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

 

ได้บุญด้วยใส่หน้ากาก

        dhammajaree371

ในช่วงนี้ ประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการระบาดของไวรัส Covid-19 ครับ
ซึ่งเราทุกคนก็ควรต้องช่วยกันป้องกันการระบาดของไวรัส Covid-19
ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการที่แนะนำโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น
ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ กินอาหารร้อน
ใช้ช้อนกลาง ลงทะเบียนก่อนเข้าพื้นที่หรือสถานที่ เป็นต้น

แม้ว่าการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว
จะก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่เราทุกคนอยู่บ้างก็ตาม
แต่มาตรการดังกล่าวก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราทุกคน
คนในครอบครัว คนอื่น ๆ ในสังคม และคนในประเทศ
อยู่รอดและปลอดภัยจากไวรัส Covid-19 ได้
ในขณะที่หากเราไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวแล้ว
อาจมีผลทำให้เราติดเชื้อไวรัส Covid-19 ได้
และในขณะเดียวกัน ก็อาจมีผลทำให้เราแพร่เชื้อไวรัส Covid-19
ซึ่งเป็นการทำร้ายคนในครอบครัว และคนอื่น ๆ ในสังคม
กระทั่งก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจในพื้นที่หรือในจังหวัดได้

ฉะนั้นแล้ว การใส่หน้ากาก การรักษาระยะห่าง
และการปฏิบัติอื่น ๆ ตามมาตรการที่แนะนำโดยภาครัฐ
ย่อมถือเป็นการป้องกันตนเองและผู้อื่น และไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น
อันย่อมเป็นการเว้นจากการทำร้ายผู้อื่น
โดยเลี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส Covid-19
กล่าวคือเป็นการถือศีลข้อละเว้นปาณาติบาตด้วย
ซึ่งใน “ปุญญาภิสันทสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต) พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต
งดเว้นจากปาณาติบาต ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน แก่สัตว์หาประมาณมิได้
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นทานประการที่ ๑ ที่เป็นมหาทาน
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=5079&Z=5126&pagebreak=0

เช่นนี้แล้ว ในเวลาที่เราใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง
ลงทะเบียนก่อนเข้าพื้นที่หรือสถานที่ หรือปฏิบัติตามมาตรการอื่น ๆ ก็ตาม
หากเราทำด้วยใจที่ระลึกว่า เพื่อป้องกันไม่ทำร้ายผู้อื่น
เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ และแพร่เชื้อไวรัส Covid-19 แก่ผู้อื่น
เรามีเจตนาที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่น ละเว้นจากการทำร้ายผู้อื่น
ก็ย่อมถือว่าได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อถือศีลข้อละเว้นปาณาติบาตได้
ซึ่งถือเป็นมหาทานข้อหนึ่ง และทำให้ได้เราได้บุญกุศลในการนั้น

นอกจากนี้แล้ว เมื่อเราระลึกถึงการรักษาศีลของเราในเรื่องนี้แล้ว
ย่อมถือเป็นอนุสติประเภทหนึ่งที่ได้บุญกุศลด้วยเช่นกัน
โดยใน “อนุสสติฏฐานสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
ปัญจก-ฉักกนิบาต) พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตน อันไม่ขาด
ระลึกถึงศีลของตนเนือง ๆ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย
อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฐิไม่ยึดถือ เป็นไปเพื่อสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีล
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว
เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก
ภิกษุทั้งหลาย คำว่าความอยากนี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำสีลานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=7387&Z=7430&pagebreak=0