เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๓๕๓
งดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สนับสนุนมิจฉาชีพหรือไม่
ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา
ได้มีข่าวหนึ่งที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก
ได้แก่ คดีของแม่ปุ๊กที่เปิดเพจเฟซบุ๊ก เพื่อขายสินค้าและขอรับบริจาค
โดยอ้างว่าตนเอง เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ถูกสามีทิ้งไป
และต้องเลี้ยงลูก ๒ คน คือ น้องอมยิ้ม และน้องอิ่มบุญ
ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ประกาศขายสินค้าและขอรับบริจาค
เพื่อนำเงินไปรักษาลูกสาวคือ น้องอมยิ้ม อายุ ๓ ขวบ
ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด มีเลือดออกปาก อาเจียนเป็นเลือด
ต่อมา ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ น้องอมยิ้มได้เสียชีวิตลง
และต่อมาในช่วงต้นปี ๒๕๖๓ แม่ปุ๊กได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งว่า
น้องอิ่มบุญ บุตรอีกคนหนึ่งก็ได้ป่วยเป็นโรคเดียวกับน้องอมยิ้ม
จนทำให้โลกออนไลน์สงสัยกันมากขึ้นว่า จะเป็นการวางยาเด็กหรือไม่
ต่อมา โรงพยาบาลที่ตรวจรักษาน้องอมยิ้ม และน้องอิ่มบุญ ได้ให้ข้อมูลว่า
ได้ส่องกล้องหาสาเหตุอาเจียนเป็นเลือดของน้องอิ่มบุญ
พบมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร น่าจะได้รับสารกัดกร่อน
โดยมีอาการคล้ายกันกับน้องอมยิ้ม ที่เข้ามารักษาและเสียชีวิตไปแล้ว
และอาการเหมือนผู้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีสารกัดกร่อน
จากนั้น ตำรวจกองปราบจึงได้เข้าจับกุมแม่ปุ๊กในคดีฉ้อโกงกว่า ๑๐ ล้านบาท
https://mgronline.com/daily/detail/9630000054489
https://mgronline.com/live/detail/9630000054460
https://mgronline.com/daily/detail/9630000054131
https://mgronline.com/crime/detail/9630000055235
https://news.mthai.com/special-report/803134.html
หลังจากเกิดเหตุการณ์เรื่องนี้แล้ว บางท่านก็รู้สึกเสียใจว่า
ตนเองโดนหลอกให้ทำทานกับมิจฉาชีพ
โดยถึงกับประกาศว่า ต่อไปนี้ ตนเองจะเลิกทำทานแล้ว
ในอีกมุมหนึ่ง ก็มีบางท่านแนะนำว่าการทำทานในลักษณะนี้
เป็นการสนับสนุนให้เกิดการทารุณหรือทำร้ายแก่คนที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
จึงแนะนำให้หยุดบริจาคผ่านบัญชีส่วนตัวของผู้ตกทุกข์ได้ยาก
ในเรื่องของการเลิกทำทานนี้
บางท่านอาจจะเห็นว่าเราทำทานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ผู้อื่นได้ประโยชน์ แต่ตนเองไม่ได้อะไร เป็นเพียงการเสียสละอย่างเดียว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำทานนั้น นอกจากช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว
ยังเป็นการช่วยเหลือตัวเราเองอีกด้วยครับ
ใน “ทานานิสังสสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า อานิสงส์แห่งการให้ทาน ๕ ประการ
ได้แก่ ๑. ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก
๒. สัปบุรุษผู้สงบย่อมคบหาผู้ให้ทาน
๓. กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ทานย่อมขจรทั่วไป
๔. ผู้ให้ทานย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของคฤหัสถ์
๕. ผู้ให้ทานเมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=887&Z=899&pagebreak=0
เช่นนี้แล้ว การที่ตนเองคิดว่าจะหยุดทำทานนั้น ย่อมเท่ากับว่า
เป็นการทำร้ายตนเองด้วย เพราะแทนที่ตนเองจะได้รับอานิสงส์แห่งทาน
ก็กลายเป็นว่าตนเองไม่ได้รับอานิสงส์เหล่านั้น
ในเรื่องของการสนับสนุนให้เกิดการทารุณหรือทำร้ายแก่คนอื่นนั้น
ในเวลาที่จะพิจารณาในเรื่องของกรรม
เราพึงมองในเรื่องของ “เจตนา” เป็นสำคัญ
ใน “นิพเพธิกสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม
บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจาด้วยใจ”
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=9611&Z=9753&pagebreak=0
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีแรก สมมุติว่าเราเทเศษอาหารทิ้งลงถังขยะ
โดยไม่ได้คิดทำทานอะไร เพียงแค่จะต้องการทิ้งเศษอาหารเท่านั้น
กับอีกกรณีหนึ่ง หากเราเทเศษอาหารทิ้งลงถังขยะ
และตั้งใจทำทานว่า ขอให้เป็นอาหารแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นด้วย
แม้ว่าทั้งสองกรณีจะมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากินอาหารนั้นเหมือนกัน
แต่ว่ากรณีแรกไม่ได้เป็นการทำทานใด ๆ แต่กรณีหลังเป็นการทำทาน
เพราะว่าเจตนาของทั้งสองกรณีนี้แตกต่างกัน
ดังนั้นแล้ว เจตนาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ในเมื่อเรามีเจตนาที่จะทำทานช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และภายหลังการทำทาน
โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะสนับสนุนใด ๆ แก่มิจฉาชีพไปทำร้ายคนอื่นแล้ว
ทานที่เราทำนั้นย่อมไม่ได้มีผลเป็นการทำร้ายคนอื่นที่เป็นเหยื่อ
หรือสนับสนุนให้มีการทำร้ายคนอื่นที่เป็นเหยื่อนั้นครับ
อย่างไรก็ดี บางท่านที่ร่วมทำทานในกรณีดังกล่าว
ก็อาจจะรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจ หรือไม่พอใจได้อยู่ดี
และหากทุกคนทำทานกันอย่างไม่ตรวจสอบกันมาก ๆ
ก็ย่อมจะทำให้เกิดมิจฉาชีพในลักษณะนี้มากขึ้น
และส่งผลให้เกิดปัญหาแก่สังคมส่วนรวมมากขึ้น
ดังนี้แล้ว เราจึงควรรับข่าวสารจากโซเชียลมีเดียด้วยความระมัดระวัง
โดยไม่รีบเชื่อหรือโอนเงินเร็วเกินไป
และควรจะตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อน
หรืออาจจะร่วมทำทานเฉพาะกับผู้รับบริจาคหรือองค์กรที่เชื่อถือได้
หรือเลือกข้อมูลจากข่าวที่ผ่านการตรวจสอบของสื่อที่เชื่อถือได้แล้ว
ก็จะช่วยลดปัญหาสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคตได้
และยังทำให้มั่นใจว่าเงินที่บริจาคจะได้ใช้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงครับ