Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๓๑๑

ngodngam1 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

 

 

พกสติ และอโทสะ

 dhammajaree311

 

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ได้มีข่าวเรื่องวิศวกรท่านหนึ่ง
ยิงวัยรุ่นคนหนึ่งเสียชีวิตที่อ่างศิลา
โดยเกิดจากเหตุที่กลุ่มวัยรุ่นจอดรถขวางทางออก

แล้วทำให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะถกเถียงกัน และขับรถปาดกัน
หลังจากนั้น กลุ่มวัยรุ่นได้เดินเข้ามาล้อมรถเก๋งของวิศวกรดังกล่าวเพื่อทำร้าย
วิศวกรท่านนั้นจึงใช้ปืนยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นที่เข้ามาล้อมรถเก๋งของวิศวกรนั้น
กระสุนไปถูกวัยรุ่นอายุ ๑๗ ปีคนหนึ่งเสียชีวิต
และวิศวกรท่านนั้นก็อ้างว่าเป็นการป้องกันตัว
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา
ศาลจังหวัดชลบุรีได้มีคำพิพากษาในคดีนี้
ซึ่งผมเห็นว่าคำพิพากษานี้น่าสนใจมากครับ
โดยขอยกบางส่วนของคำพิพากษาจากที่ระบุในข่าวมาดังนี้ครับ

“ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า
จำเลยพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ
โดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง
ส่วนปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำ
เพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
เห็นว่า เหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้
จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้มีปากเสียงกัน
แต่เหตุวิวาทจบลงไปภายหลังจากพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้ และรถยนต์เก๋งออกไป
โดยมิได้ท้าทายจำเลยอีก

หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ จอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน
เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้ง ๒ คันไปในทันที
ขับแซงรถยนต์ตู้บีบแตรยาวใส่แล้วขับไปอยู่ด้านหน้า
ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถให้ชนท้าย
ทั้งภริยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์เก๋งพวกผู้ตายไว้อีก
เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย

เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทายก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธปืน
ซึ่งบรรจุกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย
และเตรียมอาวุธไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก
บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท
เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ
จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันไปในลักษณะปาดหน้า
และขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้
แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายกับพวกมาตลอดเส้นทาง
จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกัน จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่

เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคน ก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว
แต่ยังคงพูดกับผู้ตายกับพวกด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง
มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษในการกระทำของตน
หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่อง หรือให้เลิกแล้วกันไป
ประกอบกับจำเลยเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงต่อสู้กับฝ่ายผู้ตาย
จึงต้องฟังว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท

แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย

แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน
นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง ๕ นาทีเศษ
และตามพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน

จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้
ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภริยา และหลานที่มากับจำเลย
จึงมิอาจอ้างได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่น
ให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึง
จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง
แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหด เยี่ยงโจรผู้ร้าย
เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง ๑ นัด
หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหนและยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันที
ว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด
เห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก ๑๕ ปี
ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๑๐ ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ ๔,๐๐๐ บาท
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ ๒,๐๐๐ บาท รวมจำคุก ๑๐ ปี และปรับ ๒,๐๐๐ บาท
ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย มารดาผู้ตาย
และให้ถือว่า น.ส.มณีพร อยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น
ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๓๔๐,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป
จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง”

http://www.komchadluek.net/news/local/345538
https://www.thaipost.net/main/detail/18579

ขอให้สังเกตว่า ในคำพิพากษานี้ ศาลท่านได้วินิจฉัยว่า
๑. หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ จอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน
เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
๒. เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทายก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธปืน
ซึ่งบรรจุกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย

ฉะนั้นแล้ว สมมุติว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเราเองนะครับ
เราย่อมพิจารณาได้ว่า หากเรามีสติและยับยั้งชั่งใจเอาไว้ คดีนี้ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
หรือหากเราไม่มีอาวุธปืนแต่แรก ก็ไม่มีอะไรพกไป
ก็คงไม่ฮึกเหิมไปทะเลาะกัน และ คดีนี้ก็ย่อมไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
แต่ในเมื่อมีอาวุธปืน พกออกไป และไม่มีสติยับยั้งชั่งใจเอาไว้
แล้วไปทะเลาะกับคนอื่น ใช้อาวุธปืนยิงออกไป ทำให้คนอื่นเสียชีวิตแล้ว
ในกรณีนี้ในทางกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการป้องกันตัว ก็ต้องรับโทษ
ในขณะเดียวกันหากพิจารณาในทางธรรม ก็เป็นปาณาติบาต
ซึ่งก็ย่อมจะได้รับวิบากแห่งอกุศลกรรมนี้อีกในอนาคต
จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่เราครับ

ดังนี้แล้ว การที่เราจะไปมีอาวุธปืน หรือพกอาวุธปืน
(โดยที่เราก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องมีอาวุธประจำตัวในการปฏิบัติหน้าที่)
โดยเข้าใจว่าจะเป็นประโยชน์นั้น จริง ๆ แล้วกลับจะเป็นโทษมากกว่านะครับ
แทนที่จะคิดว่าเราควรจะพกอาวุธปืน
เพื่อป้องกันตัวในเวลามีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ๆ
(ซึ่งการพกอาวุธปืนก็ผิดกฎหมายในเรื่องพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะด้วย)
เราควรที่จะมาพกสติ หรือพกอโทสะ (คือความไม่โกรธ หรือเมตตา)
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องมีเรื่องราวทะเลาะวิวาทแต่แรก
ย่อมจะเป็นประโยชน์มากกว่าพกอาวุธครับ  

กล่าวคือ เมื่อเรามีสติรู้เท่าทันความโกรธ
ไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำใจ

หรือเรามีความไม่โกรธ หรือมีเมตตาแก่ผู้อื่น เราก็ไม่ทะเลาะกับใคร

และเราก็ไม่จำเป็นต้องมีอาวุธปืน หรือใช้อาวุธปืนยิงใส่ใคร

และย่อมไม่เกิดคดี และไม่ต้องไปรับวิบากกรรม

จึงย่อมจะเป็นประโยชน์แก่เราเองมากกว่าครับ