Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๙๘

pom auther งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

ข่าวน่าเศร้า ข่าวน่าโมโห

 

 

dhammajaree298

 

 

ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ได้มีข่าวของหนุ่มคนหนึ่ง
ซึ่งเขาได้ขี่รถจักรยานยนต์พร้อมเล่นโทรศัพท์มือถือ
แล้วรถจักรยานยนต์ได้เสียหลักไปเกี่ยวกับรถซาเล้งของคุณตาคนหนึ่ง
หนุ่มคนนั้นไม่พอใจคุณตาคนนั้น จึงได้ทำร้ายคุณตาขี่ซาเล้งนั้น
จนกระทั่งคุณขี่ซาเล้งได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกนำส่งโรงพยาบาล
เมื่อคุณตาออกจากโรงพยาบาลแล้ว
จากเดิมที่คุณตาสามารถเดินได้เอง และสามารถขี่ซาเล้งเก็บของเก่าได้
กลายมาเป็นเดินไม่ได้ และต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง
โดยหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน
คุณตาก็มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดจนถึงแก่กรรม
https://www.msn.com/th-th/news/national/‘ลุงจรูญ’-ชีวิตเปลี่ยน-อาการทรุด/ar-BBKuyoG
https://www.dailynews.co.th/crime/635362
https://www.thairath.co.th/content/1242624

คุณตาถึงแก่กรรมในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑
ซึ่งในวันถัดมานั้น ผมนั่งทานข้าวกับญาติท่านหนึ่งในร้านอาหาร
โดยในระหว่างนั้นก็มีข่าวเสียชีวิตของคุณตาในโทรทัศน์
ญาติก็กล่าวว่ารู้สึกเศร้าเพราะสงสารคุณตาที่อายุ ๘๒ แล้ว
ต้องมาโดนทำร้ายเช่นนี้ แล้วก็รู้สึกโมโหหนุ่มคนที่ไปทำร้ายคุณตา

บางท่านอาจจะเข้าใจว่าเราเศร้าเพราะสงสารเขานี้จะถือเป็นกุศล
แต่จริง ๆ แล้ว ความเศร้าถือเป็นโทสะประเภทหนึ่งครับ
เมื่อจิตเกิดโทสะแล้ว หากเราไม่มีสติรู้สึกตัว โทสะก็จะครอบงำจิต
สำหรับความสงสารนั้น คือความกรุณา
มีลักษณะ คือ ต้องการหรือคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ถือว่าเป็นกุศล
แต่หากสงสารคุณตาแล้ว ทำให้เกิดความเศร้า
ก็จะกลายเป็นว่าจากกรุณาแล้วเปลี่ยนไปเป็นโทสะ
ตรงนี้เราพึงมีสติรู้เท่าทัน ไม่ให้โทสะมาครอบงำจิต
ในส่วนการโมโหหนุ่มคนที่ทำร้ายคุณตานั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นโทสะครับ

ดังนั้นแล้ว เวลาที่เราเสพข่าวหนึ่ง ๆ นั้น
ย่อมอาจจะทำให้จิตเราเกิดได้ทั้งกุศลและอกุศลอย่างรวดเร็ว
หากเรามุ่งจะภาวนาแล้ว ไม่ว่าจิตจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม
ก็พึงมีสติรู้เท่าทันทั้งสิ้น ไม่ใช่รู้ทันเพียงแค่อกุศลเท่านั้น
ซึ่งก็จะทำให้เราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตและสิ่งปรุงแต่งต่าง ๆ
โดยไม่ว่ากุศลหรืออกุศลก็ตาม ล้วนตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ทนอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนได้
จิตจะเศร้า ก็เศร้าไป จิตจะโมโห ก็โมโหไป
แต่ให้เรามีสติรู้ทัน แล้วสติจะเป็นตัวกั้นกระแสเศร้าและโมโหให้เอง

ในส่วนของบางท่านที่ไม่เคยหัดเจริญสติมาก่อนนั้น
ก็ย่อมเป็นการยากที่จะเกิดสติมากั้นกระแสความปรุงแต่งเหล่านี้
แต่เพื่อไม่ให้จิตโดนโทสะ (คือ โมโห หรือเศร้า เป็นต้น) ครอบงำแล้ว
จึงแนะนำให้ท่านลองปฏิบัติอีกทางหนึ่ง โดยอาจจะระลึกว่า
“เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น”
(ฐานสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=22&item=57&items=1&preline=0&pagebreak=0

เมื่อเราระลึกเช่นนี้แล้ว เราก็พึงเห็นและเข้าใจได้ว่า
แม้ว่าคุณตาที่โดนทำร้ายจะน่าสงสารเพียงใดก็ตาม
แต่ก็ย่อมจะเป็นเพราะเป็นผลแห่งกรรมของคุณตาเอง
และหากคุณตาได้ทำกรรมดีไว้ คุณตาก็ย่อมจะได้ไปสู่สุคติ
ในส่วนของหนุ่มที่ทำร้ายคุณตานี้ แม้ว่าจะน่าโมโหก็ตาม
แต่เราก็พึงเห็นได้ว่าในเมื่อเขาทำกรรมไม่ดี ก็ย่อมจะได้เสวยผลกรรมไม่ดี
ซึ่งหากพิจารณาจริง ๆ แล้ว เขาก็จะน่าสงสารเช่นกันในเวลาที่เขาได้รับผล
จากนั้น ก็พึงย้อนมาพิจารณาตนเองนะครับว่า
ตัวเราเองก็พึงละกรรมชั่วทั้งหลาย และพึงสร้างกรรมดีให้ถึงพร้อม
เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปอยู่ในสภาวะที่น่าสงสารเช่นกัน
เช่นนี้แล้ว ก็จะช่วยบรรเทาไม่ให้ข่าวน่าเศร้า และข่าวน่าโมโห
มาทำให้ใจต้องเศร้า หรือต้องโมโหไปด้วย