Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๘๐

dhammajaree262 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ใต้ร่มพระบารมี (๑๕) พระราชกรณียกิจในการพัฒนาพลังงานไทย (ตอนที่ ๕)

 
dhammajaree280

ในตอนนี้จะขอนำพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙
เกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานไทยมานำเสนอต่อจากตอนที่แล้วนะครับ

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระวิสัยทัศน์ด้านพลังงานทดแทน
ที่ทรงเริ่มต้นศึกษาวิจัยขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น
ทำให้ปัจจุบันประชาชนชาวไทยได้มีทางเลือกในการใช้พลังงานทดแทน
ที่คนไทยสามารถผลิตได้เอง และสามารถลดปริมาณการนำเข้าได้เป็นจำนวนมาก

คุณแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวัง
กล่าวถึงพระราชดำริเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่า
“พระองค์ทรงรับสั่งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ แล้วว่า ค่ารถจะแพง ก็แปลว่าน้ำมันจะแพง
บังเอิญผมรู้จักกับพวกอุตสาหกรรมน้ำมัน แล้วคุยเรื่องนี้
เขาบอกว่าเขาแข่งขันกัน มันก็ต้องลดราคาลงไปเรื่อย ๆ
พระองค์ก็รับสั่งให้ทดลองผลิตแอลกอฮอล์ ทำน้ำมันเชื้อเพลิง
ทำเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ดีโซฮอล์ ในสวนจิตรลดา ...

ตอนนั้นทรงมีพระราชปรารภว่าเมืองไทยกำลังเห่อปลูกต้นยูคาลิปตัส
ที่ไหน ๆ ก็ปลูกหมด ยูคาลิปตัส ๓ ปี จึงจะตัดได้
แล้วท่านก็รับสั่งว่า ระหว่าง ๓ ปีเขาจะเอาอะไรกิน
แต่ถ้าเผื่อปลูกอ้อย ปลูกทุกปีขายได้ทุกปี
แล้วก็เอาอ้อยมาทำแอลกอฮอล์ เอาแอลกอฮอล์มาผสมเบนซิน
เราก็ทดลองผสมตั้งแต่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้งเบนซินทั้งน้ำมันดีเซล
ใช้ได้รถยนต์ของโครงการส่วนพระองค์ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีโซลฮอล์”

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
เริ่มต้นขึ้นในปี ๒๕๒๘ ด้วยในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำริว่า
ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน
จึงมีประราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
โดยพระราชทานเงินทุนวิจัยเริ่มต้นเป็นจำนวน ๙๒๕,๕๐๐ บาท

การศึกษาวิจัยภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
เริ่มตั้งแต่การทดลองปลูกอ้อยหลายพันธุ์
เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดนำมาทำแอลกอฮอล์
นอกจากอ้อยที่ผลิตได้ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาแล้ว
ยังออกไปรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบอีกด้วย

โรงงานแอลกอฮอล์ซึ่งมีทั้งเครื่องหีบอ้อย ถังหมัก หอกลั่นขนาดเล็ก
เริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งแรกในปี ๒๕๒๙
สามารถผลิตแอลกอฮอล์ ๙๑ เปอร์เซ็นต์ได้ในอัตรา ๒.๘ ลิตรต่อชั่วโมง
ต่อมาเนื่องจากวัตถุดิบมีไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาใช้กากน้ำตาล
และมีการสร้างอาคารศึกษาวิจัยหลังใหม่ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา

สำหรับแอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ในช่วงแรกยังไม่สามารถนำไปผสมกับเบนซินได้
จึงนำผลผลิตที่ได้ไปทำเป็นน้ำส้มสายชู ต่อมาก็ทำเป็นแอลกอฮอล์แข็ง ใช้อุ่นอาหาร
ให้กับทางห้องเครื่องของสวนจิตรลดา เนื่องจากเดิมใช้แอลกอฮอล์เหลว
ครั้งหนึ่งเมื่อมีการขนส่งแอลกอฮอล์เหลวไปยังพระตำหนักในภาคเหนือ
รถเกิดอุบัติเหตุทกให้ไฟไหม้รถทั้งคัน เพราะแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
จึงได้มีการคิดนำแอลกอฮอล์มาทำเป็นเชื้อเพลิงแข็งเพื่อความปลอดภัยแทน
โรงงานแอลกอฮอล์มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา
ต่อมาก็สามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์
หรือที่เรียกว่า “เอทานอล” ได้เป็นผลสำเร็จ

วัตถุดิบที่ใช้ผลิตเอทานอลแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ
๑. วัตถุดิบประเภทแป้ง ได้แก่ ธัญพืช ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์
ข้าวฟ่าง และพวกพืชหัว เช่น มันสำปะหลัง มันฝรั่ง มันเทศ เป็นต้น
๒. วัตถุดิบประเภทน้ำตาล ได้แก่ อ้อย กากน้ำตาล บีตรูต ข้าวฟ่างหวาน เป็นต้น
๓. วัตถุดิบประเภทเส้นใย ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากผลผลิตทางการเกษตร
เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย ซังข้าวโพด รำข้าว เศษไม้ เศษกระดาษ ขี้เลื่อย
วัชพืช รวมทั้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานกระดาษ เป็นต้น

เมื่อโรงงานแอลกอฮอล์ของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
สามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์
และทดลองนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเติมเครื่องยนต์
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์มีน้ำผสมอยู่ด้วย
ต้องนำไปกลั่นแยกน้ำเพื่อให้ได้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ๙๙.๕ เปอร์เซ็นต์ ก่อนนำไปผสมกับน้ำมันเบนซิน
โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาจึงนำแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์
ไปผ่านกระบวนการแยกน้ำที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
เพื่อให้ได้เอทานอล และนำกลับมาผสมกับน้ำมันเบนซินที่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา

ในปี ๒๕๓๗ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาขยายกำลังการผลิตเอทานอล
เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอผสมกับน้ำมันเบนซิน ๙๑ ในอัตราส่วน ๑:๙
ได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เติมให้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๖ โครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ของสำนักพระราชวัง

สถานีบริการเชื้อเพลิงในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
นอกจากผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์เติมให้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการแล้ว
งานทดลองผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ยังเป็นแหล่งความรู้แก่ประชาชนที่สนใจอีกด้วย

ในส่วนของขั้นตอนการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในเชิงพาณิชย์นั้น
จะนำวัตถุดิบอย่าง เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวฟ่างหวาน ฯลฯ
ไปผ่านกระบวนการหมัก จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการกลั่นและแยกให้บริสุทธิ์
ซึ่งจะทำให้ได้เอทานอล ๙๕ เปอร์เซ็นต์
หลังจากนั้นนำไปผ่านกระบวนการแยกน้ำ ทำให้ได้เป็นเอทานอล ๙๙.๕ เปอร์เซ็นต์
ก่อนนำไปผสมกับน้ำมันเบนซิน
ถ้าผสมกับน้ำมันเบนซิน ๘๗ ก็จะได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ๙๑
ถ้าผสมกับน้ำมันเบนซิน ๙๑ ก็จะได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ๙๕

ในช่วงปี ๒๕๒๘ - ๒๕๓๐ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
เปิดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุดไป
เพราะราคาน้ำมันเบนซินในเวลานั้นถูกกว่าราคาแอลกอฮอล์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์
จึงไม่คุ้มค่ากับการนำมาจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดายังคงศึกษาวิจัย
เกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างต่อเนื่องมาตลอด
ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตราคาน้ำมันแล้ว
การนำผลการศึกษาวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนตามพระราชดำริ
มาต่อยอดขยายผลในเชิงพาณิชย์จึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

ต่อมาหลังจากนั้น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
ซึ่งนอกจากช่วยลดการนำเข้าน้ำมันลงได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ยังช่วยลดมลภาวะเป็นพิษในอากาศได้อีกด้วย

ดีโซฮอล์ คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมน้ำมันดีเซลกับแอลกอฮอล์
เพื่อนำไปใช้แทนน้ำมันของเครื่องยนต์ดีเซล โครงการดีโซฮอล์เริ่มขึ้นในปี ๒๕๔๑
โดยโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาทดลองผสม
แอลกอฮอล์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์กับน้ำมันดีเซล และสารอิมัลซิไฟเออร์
ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้แอลกอฮอล์กับน้ำมันดีเซลผสมเข้ากันได้โดยไม่แยกกัน
ดีโซฮอล์จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล เช่น รถแทรกเตอร์ของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
จากผลการทดลองพบว่าสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ดีพอสมควร
และสามารถลดควันดำลงไปประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์
แต่ยังเป็นโครงการศึกษาวิจัยภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาเท่านั้น
ยังไม่มีการนำออกมาใช้ในเชิงพาณิชย์

เมื่อปี ๒๕๒๖ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำริให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก ที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จังหวัดกระบี่
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ขนาดเล็ก
กำลังผลิตวันละ ๑๑๐ ลิตร ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส

ในปี ๒๕๒๘ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ ทอดพระเนตร
โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มสาธิตที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
และมีพระราชดำรัสให้ไปทดลองสร้างโรงงานให้กลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อมในพื้นที่จริง
ปีถัดมา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จัดสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทดลองขึ้น
ที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จังหวัดกระบี่

ในปี ๒๕๓๑ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชกระแสให้สร้าง
โรงงานแปรรูปน้ำมันปาล์มขนาดเล็กครบวงจร
ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส

ในปี ๒๕๔๓ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาและกองงานส่วนพระองค์
วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เริ่มการทดลองนำน้ำมันปาล์มมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
ซึ่งจากการทดสอบพบว่า น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
สามารถใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยไม่ต้องผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงอื่น ๆ
หรืออาจใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลได้ตั้งแต่ ๐.๐๑ เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์

จากผลความสำเร็จดังกล่าว เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
คุณอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับ
“การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล”
ในปีเดียวกันนั้น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติอัญเชิญ
ผลงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๓ ผลงาน คือ
ทฤษฎีใหม่ โครงการฝนหลวง และโครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม
ไปร่วมแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ “Brussels Eureka 2001”
ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม
โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์มได้รับ
เหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล
พระอัจฉริยภาพจึงไม่เพียงประจักษ์ในหมู่พสกนิกรชาวไทยเท่านั้น
แต่ยังขจรขจายไปในเวทีนานาชาติอีกด้วย

ไบโอดีเซล (Biodiesel) คือ น้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์
รวมทั้งน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหารนำมาทำปฏิกิรยาทางเคมีกับแอลกอฮอล์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สารเอสเตอร์ มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมาก
และในกระบวนการผลิตยังได้กลีเซอรอลเป็นผลพลอยได้
ซึ่งสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางอีกด้วย

วัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้แก่น้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ทุกชนิด
แต่การนำพืชน้ำมันชนิดใดมาทำเป็นไบโอดีเซลนั้น
แตกต่างกันไปตามลักษณะสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกาทำจากถั่วเหลืองซึ่งปลูกเป็นจำนวนมาก
ส่วนในประเทศแถบยุโรป ทำจากเมล็ดเรพและเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทยผลิตไบโอดีเซลจากมะพร้าวและปาล์มน้ำมัน
โดยผลการวิจัยในปัจจุบันพบว่า
ปาล์มคือพืชที่ดี และเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้ทำไบโอดีเซล
เพราะเป็นพืชที่มีศักยภาพในการนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงสูงกว่าพืชน้ำมันชนิดอื่น
จากการที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูง
ปาล์มน้ำมันให้ผลผลิตน้ำมันต่อไร่สูงกว่าเมล็ดเรพ
ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลในประเทศแถบยุโรปถึง ๕ เท่า
และสูงกว่าถั่วเหลืองที่ใช้กันมากในสหรัฐอเมริกาถึง ๑๐ เท่า

เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๔๗ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีรับสั่งกับ
ผู้บริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
พร้อมด้วยผู้บริหารจากประเทศญี่ปุ่นที่มาเข้าเฝ้าฯ เรื่องเมล็ดสบู่ดำว่า
น่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างดีกว่าน้ำมันปาล์มในการทำไบโอดีเซล
เพราะต้นสบู่ดำเจริญเติบโตได้เร็วกว่าปาล์มน้ำมัน
และสามารถเก็บผลผลิตได้หลังจากปลูกไม่เกิน ๑ ปี
นอกจากนั้นสบู่ดำยังไม่เป็นอาหารของมนุษย์หรือสัตว์
แม้จะมีข้อเสียเรื่องพิษของเมล็ดสบู่ดำที่อาจเกิดขึ้นแก่มนุษย์ได้หากรับประทานหรือสัมผัส

บริษัท โตโยต้าฯ จึงร่วมกับหลายหน่วยงาน อันได้แก่
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Toyota Technical Center Asia-Pacific
จัดทำโครงการวิจัยเรื่องเมล็ดสบู่ดำ โดยจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า
ต้นสบู่ดำขยายพันธุ์ง่ายและมีอายุยืนกว่าต้นปาล์ม โดยมีอายุยืนถึง ๕๐ ปี
และเริ่มเก็บผลผลิตได้เมื่ออายุ ๕-๘ เดือน
ต่อมาก็ได้มีการศึกษาแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยเมล็ดพันธุ์ที่ให้น้ำมันสูงสุด
การปลูก แมลงที่เป็นศัตรูพืชและเป็นประโยชน์ การเก็บเมล็ด การสกัดน้ำมัน
การทดสอบกับเครื่องยนต์ รวมทั้งการศึกษาเรื่องต้นทุนการผลิตด้วย

นอกจากพืชดังกล่าวมาแล้ว น้ำมันพืชใช้แล้วก็สามารถนำมาทำไบโอดีเซลได้เช่นกัน
และน้ำมันพืชใช้แล้วก็เป็นวัตถุดิบอีกชนิดหนึ่งที่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ใช้ผลิตไบโอดีเซลมาเนิ่นนานแล้ว โดยนำน้ำมันเหลือใช้จากห้องเครื่องมาทำเป็นไบโอดีเซล

เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์
เขื่อนคลองท่าด่าน จังหวัดนครนายก ในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๔
รถยนต์พระที่นั่งติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า “รถคันนี้ใช้น้ำมันปาล์ม ๑๐๐%”

ไบโอดีเซลในประเทศไทยแบ่งออกเป็นสองมาตรฐาน คือ
ไบโอดีเซลชุมชนและไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์
ไบโอดีเซลชุมชน คือ ไบโอดีเซลที่กลั่นออกมาเป็นน้ำมันพืช
เหมือนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ที่เรียกกันว่าปาล์มน้ำมันโคโค่ดีเซล
เป็นไบโอดีเซลที่เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลสูบเดียว
รอบเครื่องยนต์คงที่ เช่น รถเดินลาก รถอีแต๋น เครื่องสูบน้ำ
แต่ไม่เหมาะกับการใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล
เพราะในระยะยาวจะทำให้เกิดยางเหนียวในเครื่อง

ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ เป็นการนำน้ำมันพืชไปผ่านขั้นตอน transesterfication
เป็นสารเอสเตอร์ ที่เรียกกันว่า B100 นำมาผสมกับน้ำมันดีเซล
อย่างเช่น น้ำมัน B5 ก็คือมีน้ำมันดีเซลในอัตราส่วนน้ำมันดีเซล
ต่อน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการ ๙๕:๕ จะได้ B5

จึงเป็นที่ตระหนักกันดีในพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ ๙
สำหรับการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุทางการเกษตร
ซึ่งพระองค์ทรงริเริ่มมาเป็นเวลานานกว่าหลายสิบปีมาแล้ว


ข้อมูลอ้างอิง:
http://www.eppo.go.th/royal/m1700_0020.html
หนังสือ “พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย” จัดทำโดยกระทรวงพลังงาน
ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กระทรวงพลังงาน
http://www.energy.go.th/international/index.php?action_content=article-single&id=61