Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๕๔

ngod-ngam2 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

ความเพียรที่พอเหมาะ

 dharmajaree254

ในการภาวนานั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราแบ่งเวลาทำในรูปแบบทุกวัน
นอกจากนั้นแล้ว เราก็ภาวนาในชีวิตประจำวันไปด้วย
ซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์กว่าการที่ไม่ได้ทำในรูปแบบโดยสม่ำเสมอทุกวัน
แล้วก็มาหักโหมทำในรูปแบบอย่างหนักต่อเนื่องในวันเดียว
หลังจากนั้นก็เว้นหยุดไปหลายวัน
แล้วก็มาหักโหมทำในรูปแบบอย่างหนักต่อเนื่องในวันเดียวอีก

ครูบาอาจารย์บางท่านเปรียบเสมือนกับการรดน้ำต้นไม้
โดยเราพึงหมั่นรดน้ำต้นไม้อย่างสม่ำเสมอในปริมาณน้ำที่เหมาะสม
ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่าในแต่ละวัน เราไม่ได้สนใจรดน้ำเลย
แล้วพอถึงเวลาจะรดน้ำคราวหนึ่ง เราก็รดน้ำทีเดียวเยอะจนท่วม
แบบนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ต้นไม้
แถมบางทีเรารดน้ำมากเกินสมควร อาจจะทำให้ต้นไม้ตายเสียด้วย

ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องราวของพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า “พระโสณะ”
ซึ่งท่านภาวนาโดยเพียรมากเกินสมควร ทำให้เนิ่นช้าในการบรรลุธรรม
ใน “พระวินัยปิฎก มหาวรรค จัมมขันธกะ” เล่าว่า
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
ในเมืองจัมปา ชายคนหนึ่งชื่อ “โสณะ” มีขนงอกขึ้นที่ฝ่าเท้าทั้งสอง
ในคราวนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้โปรดเกล้าเรียกให้โสณะมาเข้าเฝ้า
เพื่อทอดพระเนตรเท้าทั้งสองของเขา
บิดามารดาของโสณะได้ตักเตือนเขาว่า
เจ้าอย่าเหยียดเท้าทั้งสองไปทางที่พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่
จงนั่งขัดสมาธิตรงพระพักตร์ของพระองค์
เมื่อเจ้านั่งแล้ว พระเจ้าอยู่หัว จักทอดพระเนตรเท้าทั้งสองได้

ครั้งนั้น หมู่ชนบริวารทั้งหลายได้นำโสณะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินด้วยคานหาม
โสณะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ถวายบังคมแล้วนั่งขัดสมาธิตรงพระพักตร์
พระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรเห็นขนที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขาแล้ว
ทรงรับสั่งกับหมู่ชนเหล่านั้นว่า เจ้าทั้งหลายอันเราสั่งสอนแล้วในประโยชน์ปัจจุบัน
เจ้าทั้งหลายจงไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นั้น จักทรงสั่งสอนเจ้าทั้งหลายในประโยชน์ภายหน้า
ในลำดับนั้น หมู่ชนทั้งหลายได้นำโสณะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ภูเขาคิชฌกูฏ

เมื่อหมู่เหล่านั้นได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอนุปุพพิกถา และจตุราริยสัจ
ในครั้งนั้น ท่านโสณะได้มีความปริวิตกว่า ด้วยวิธีอย่างไร
เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย
ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ท่านโสณะจึงได้กราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อขออุปสมบท
ท่านโสณะจึงได้รับการอุปสมบทในพุทธสำนักแล้ว

หลังจากที่ท่านพระโสณะอุปสมบทแล้ว ท่านได้พำนักอยู่ ณ ป่าสีตวัน
ท่านปรารภความเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจนเท้าทั้ง ๒ แตก
สถานที่เดินจงกรมเปื้อนโลหิต ดุจสถานที่ฆ่าโค
ในลำดับนั้น ท่านพระโสณะได้เกิดความปริวิตกแห่งจิตขึ้นว่า
บรรดาพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นรูปหนึ่ง
แต่ไฉนจิตของเราจึงยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นเล่า
สมบัติในตระกูลของเราก็ยังมีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล
ถ้ากระไร เราพึงสึกเป็นคฤหัสถ์แล้วบริโภคสมบัติ และบำเพ็ญกุศล

ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านพระโสณะ
จึงทรงอันตรธานจากภูเขาคิชฌกูฏ มาปรากฏพระองค์ ณ ป่าสีตวัน
พระองค์ได้เสด็จเข้าไปทางสถานที่เดินจงกรมของท่านพระโสณะ
ได้ทอดพระเนตรเห็นสถานที่เดินจงกรมเปื้อนโลหิต
ครั้นแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งถามว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย
สถานที่เดินจงกรมแห่งนี้ของใครหนอ เปื้อนโลหิต เหมือนสถานที่ฆ่าโค”
ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า “ท่านพระโสณะปรารภความเพียรเกินขนาด
เดินจงกรมจนเท้าทั้ง ๒ แตก สถานที่เดินจงกรมแห่งนี้ของท่านจึงเปื้อนโลหิต
ดุจสถานที่ฆ่าโค ฉะนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปที่อยู่ของท่านพระโสณะ
ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้ถวาย
ท่านพระโสณะได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระโสณะว่า
“ดูกรโสณะ เธอไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ และได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นว่า
บรรดาพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ปรารภความเพียรอยู่
เราก็เป็นรูปหนึ่ง แต่ไฉน จิตของเราจึงยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่นเล่า สมบัติในตระกูลของเราก็ยังมีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล
ถ้ากระไร เราพึงสึกเป็นคฤหัสถ์ แล้วบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล ดังนี้ มิใช่หรือ”
ท่านพระโสณะทูลรับว่า “อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เมื่อครั้งเธอยังเป็นคฤหัสถ์ เธอฉลาดในเสียงสายพิณมิใช่หรือ”
ท่านพระโสณะทูลรับว่า “เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ดูกรโสณะ คราวใดสายพิณของเธอตึงเกินไป
คราวนั้นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม”
ท่านพระโสณะทูลตอบว่า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ดูกรโสณะ คราวใดสายพิณของเธอหย่อนเกินไป
คราวนั้นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม”
ท่านพระโสณะทูลตอบว่า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ดูกรโสณะ คราวใดสายพิณของเธอไม่ตึงนัก
ไม่หย่อนนัก ตั้งอยู่ในคุณภาพสม่ำเสมอ
คราวนั้น พิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม”
ท่านพระโสณะทูลตอบว่า “เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปว่า “ดูกรโสณะ เหมือนกันนั่นแล
ความเพียรที่ปรารภเกินไปนัก ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน
ความเพียรที่ย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อเกียจคร้าน
เพราะเหตุนั้นแล เธอจงตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ
จงทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายเสมอกัน และจงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น”
จากนั้น ท่านพระโสณะทูลรับสนองว่าจะปฏิบัติตามพระพุทธพจน์นั้น

ในกาลต่อมา ท่านพระโสณะได้ตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ
ทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายเสมอกัน และได้ถือนิมิตในความสม่ำเสมอ
ได้หลีกออกอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไป
ไม่นานเท่าไรนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งคุณพิเศษอันยอดเยี่ยม เป็นที่สุดพรหมจรรย์
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องประสงค์
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่แล้ว
ได้รู้ชัดแล้วว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ท่านพระโสณะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งแล้ว
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=0&Z=223

แม้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไปนัก ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านก็ตาม
แต่ปัญหาส่วนใหญ่สำหรับเราที่เป็นฆราวาสก็น่าจะเป็น
กรณีความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ซึ่งเป็นไปเพื่อเกียจคร้านเสียมากกว่า
ดังนั้นแล้ว เราพึงปรารภความเพียรที่พอเหมาะ โดยสม่ำเสมอ
ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่า และย่อมเป็นไปตามพระธรรมคำสอนครับ