Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๔๘

ngod-ngam2 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

เล่าเรื่องไปทำงานที่สิงคโปร์

dhamajaree248

 

เมื่อกลางเดือนถึงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ประมาณ ๑๑ วัน
บางท่านอาจจะมองว่าการได้ไปทำงานต่างประเทศเป็นเรื่องน่าปรารถนา
แต่สำหรับผมแล้วการไปทำงานคราวนี้ไม่ใช่เรื่องน่าปรารถนาเลย
เพราะไม่ใช่ว่าไปทำงานกลางวันแล้ว ตอนเย็นจะมีเวลาพักผ่อนสบาย ๆ
แต่กลายเป็นว่าตอนกลางวันก็ต้องทำงานในส่วนของที่สิงคโปร์
ส่วนตอนเย็นหรือกลางคืนก็ต้องมาทำงานในส่วนของที่กรุงเทพฯ
กลายเป็นว่านอนดึกมากขึ้น และมีเวลาพักผ่อนหรือเวลาส่วนตัวมีน้อยลง
แม้ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องทำงานทุกวันนะครับ
เพียงแต่ว่าจะพอมีเวลาไปเตร็ดเตร่ได้บ้างไม่กี่ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี ก็พอจะได้ประสบการณ์บางเรื่องมาแชร์ให้ฟังกันครับ

ด้วยความที่งานที่ต้องทำในระหว่างอยู่ที่สิงคโปร์นี้มีมาก
ดังนั้นแล้ว เวลาส่วนตัวที่จะภาวนาในรูปแบบก็จะมีน้อยลง
กลับมาถึงห้องพักในแต่ละวัน ผมก็สลบเหมือดไปทุกที
จึงจำเป็นต้องหาเวลาระหว่างวันครับ
โดยที่พักของผมนั้นอยู่ห่างจากสถานที่ประชุมประมาณเดิน ๑๐ – ๑๕ นาที
ในวันแรกที่ไปทำงานนั้น ผมก็ขึ้นรถแท็กซี่จากที่พักไปยังสถานที่ประชุม
แต่พอมาวันที่สอง ผมก็สังเกตว่าระยะทางอยู่ในวิสัยที่สามารถจะเดินได้
ผมก็เลิกขึ้นแท็กซี่ แล้วก็เดินเจริญสติจากที่พักไปสถานที่ประชุม
พอเลิกประชุมตอนเย็นแล้ว ก็เดินเจริญสติจากสถานที่ประชุมกลับมายังออฟฟิศ
เพื่อมาทำงานในส่วนของงานที่กรุงเทพฯ ต่อ
ในส่วนนี้ก็สบายใจว่าได้ตุนไว้ได้แล้วประมาณ ๒๐ – ๓๐ นาทีในแต่ละวัน

ในกรณีที่ขึ้นแท็กซี่นั้น จริงอยู่ว่าเรานั่งบนแท็กซี่ ก็ฝึกเจริญสติได้
แต่ว่าบางทีคนขับแท็กซี่บางคนก็จะชวนเราคุย
ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องสนใจดูทางว่าเขาขับไปถูกสถานที่ไหม
ก็จะรู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก
จึงรู้สึกว่าเดินไปทำงานจะสะดวกในการเจริญสติมากกว่า
แถมยังประหยัดค่าแท็กซี่ให้กับทางบริษัทได้อีกด้วย

ในช่วงระหว่างวัน ก็พยายามเก็บเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ อีกด้วย
เช่น ช่วงเวลาอาบน้ำแปรงฟัน ช่วงเวลาที่รอขึ้นลิฟท์
หรือช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟท์ขึ้นลงอาคาร
ช่วงเวลาไปเข้าห้องน้ำ หรือช่วงทานอาหารเช้าและเย็น เป็นต้น
ส่วนในช่วงเวลาทานอาหารกลางวันนั้น ต้องทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน
แล้วก็ปรึกษาหารือเรื่องงานกันไปด้วย
ก็ต้องตั้งใจมุ่งสมาธิไปที่เนื้อหางานที่หารือกัน ก็เจริญสติส่วนตัวได้ยาก

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนเดินทางมาสิงคโปร์แล้ว
ผมรู้สึกได้ว่า พอมีงานเยอะ ๆ และมีเวลาส่วนตัวน้อยลง
บางทีก็ทำให้เรารู้สึกขวนขวายที่จะเก็บเวลาเล็กน้อยระหว่างวันมาภาวนามากขึ้น
ในทางกลับกัน ในบางช่วงเวลา หากเรามีเวลาส่วนตัวมากแล้ว
บางทีเรากลับรู้สึกหลงเพลิน ประมาท
และไม่เห็นคุณค่าของเวลาในช่วงเวลาเล็กน้อยเหล่านี้เท่าไรนัก

ในช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์ ผมก็ยังต้องเข้าออฟฟิศที่สิงคโปร์เพื่อทำงาน
แต่ก็พอมีเวลาประมาณวันละ ๓ – ๔ ชั่วโมงออกไปเตร็ดเตร่ส่วนตัว
ก็วางแผนว่าจะใช้เวลาของวันเสาร์ไปเดินเที่ยวที่วัด และไปนั่งภาวนาในรูปแบบ
แล้วใช้เวลาของวันอาทิตย์ไปซื้อของฝากคนในครอบครัว และเพื่อนที่ทำงาน
ในสิงคโปร์เองก็จะมีวัดที่มีชื่อเสียงอยู่ คือ
“วัดพระเขี้ยวแก้ว” (Buddha Tooth Relic Temple)
ซึ่งหลายท่านที่เคยไปที่วัดแห่งนี้มาแล้ว
คงจะทราบว่าบนชั้น ๔ ของอาคารที่เป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุนั้น
มีสถานที่ให้ฆราวาสมานั่งสมาธิได้ด้วย
แต่ว่าผมไม่ได้เดินทางไปที่ “วัดพระเขี้ยวแก้ว” นะครับ
เพราะสนใจที่จะเดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองมากกว่า

โดยในการเดินทางไปที่วัดนอกเมืองแห่งนี้ก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดิน
แล้วก็ไปขึ้นรถเมล์ต่อไปอีก จึงจะไปถึงที่วัดได้
เมื่อได้เดินทางไปถึงที่วัดนอกเมืองแห่งนี้แล้วก็ได้ไปเดินชมสถานที่ต่าง ๆ
และได้พบว่าเขามีแจกหนังสือธรรมะภาษาอังกฤษให้ฟรีด้วย
ผมก็เลือกหยิบเล่มที่น่าสนใจมา แล้วก็ร่วมทำบุญกับเขาไปด้วย
มีบางเล่มที่ผมหยิบมานั้น หน้าปกหนังสือบอกว่าเป็นเรื่องฝึกวิปัสสนา
แต่พออ่านไปในเล่มแล้ว พบว่ากลับไปสอนเรื่องฝึกสมถะ
โดยสอนให้เราฝึกเอาใจไปเพ่งไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น ที่ลมหายใจ หรือที่ท้องพองยุบ เป็นต้น
โดยก็ไม่ได้อธิบายให้ว่าฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยแล้ว
จะสามารถทำให้เห็นไตรลักษณ์ได้อย่างไร
ผมลองดูเล่มอื่น ๆ แบบเปิดผ่าน ๆ แล้ว
ก็ไม่พบว่าเล่มไหนที่สอนเนื้อหาเรื่องวิปัสสนาแท้ ๆ
ดังที่เราได้มีโอกาสเรียนและศึกษาจากครูบาอาจารย์ในเมืองไทย

กรณีนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ให้แก่เรานะครับว่า
พวกเราที่อยู่ในเมืองไทยนี้มีโอกาสอันดีอย่างมากแล้ว
ที่ได้เกิดในแผ่นดินที่มีพระพุทธศาสนา
มีครูบาอาจารย์ที่สืบทอดพระธรรมคำสอน และนำมาสั่งสอนเรา
เราได้อยู่ในพื้นที่ที่สามารถศึกษาคำสอนในเรื่องวิปัสสนาโดยแท้ได้
และสามารถที่จะฝึกวิปัสสนาได้แล้ว
เราได้ใช้โอกาสอันดีของเรานี้ให้เป็นประโยชน์แค่ไหนเพียงไร
หากเราต้องไปอยู่ในประเทศที่ไม่มีพุทธศาสนา
หรือไปอยู่ในประเทศที่มีพุทธศาสนา แต่หาคำสอนในเรื่องวิปัสสนาไม่ได้แล้ว
เราย่อมจะพบความยากลำบากในการฝึกวิปัสสนามากกว่านี้

ระหว่างที่เดินทางขึ้นรถไฟใต้ดินในสิงคโปร์ เดินทางไปไหนมาไหนนั้น
ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า จำนวนคนในรถไฟใต้ดิน
ที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่าประมาณครึ่งหนึ่งบนรถไฟจะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือกันเลย
บางคนก็อาจจะเล่นเกมบ้าง บางคนก็พิมพ์ข้อความ บางคนก็อ่านข้อความ
จึงต้องยอมรับว่าโทรศัพท์มือถือเป็นศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับการภาวนาในปัจจุบันจริง ๆ

หากลองนึกย้อนเปรียบเทียบกับในสมัยอดีตช่วงสิบกว่าปีก่อนที่ผมเคยมาสิงคโปร์แล้ว
ในสมัยอดีตนั้นคนจะไม่เล่นโทรศัพท์มือถือเยอะขนาดนี้
ส่วนใหญ่ก็จะอ่านหนังสือ นิตยสาร หรืออ่านหนังสือพิมพ์กัน
แต่ขณะนี้แทบไม่เห็นคนอ่านหนังสือแล้ว คนอ่านหนังสือพิมพ์ยิ่งไม่มีเลย
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวธุรกิจก็จะทราบว่าธุรกิจนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันนั้น
ประสบปัญหาหนักเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
โดยจำนวนคนสนใจอ่านนิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์กระดาษมีน้อยลงมาก
รายได้จากโฆษณาจะลดลงตามไปมากด้วยเป็นเงาตามตัว
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแนวโน้มปกติที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ในช่วงเย็นวันเสาร์และเย็นวันอาทิตย์ที่ได้ไปทานข้าวไกลจากออฟฟิศ
ผมก็พบว่าทั้งสองร้านอาหารที่ได้ไปทานนั้น
ในเวลาสั่งอาหาร เขาจะให้เราเลือกสั่งอาหารเองโดยกดสั่งในไอแพด
ซึ่งแต่ละโต๊ะก็จะมีไอแพดอยู่เครื่องหนึ่งให้เราสั่งอาหารเอง
พอพนักงานยกอาหารมาให้แล้ว เขาก็จะเอาบิลมาวาง
เพื่อให้เรานำไปจ่ายที่โต๊ะในเวลาก่อนออกจากร้าน
ตรงนี้เข้าใจว่าเพื่อเป็นการประหยัดเวลาของพนักงาน
ซึ่งแนวโน้มของการให้ลูกค้าใช้ไอแพดในการสั่งอาหารเอง
ก็น่าจะมีการนำมาใช้มากขึ้นในร้านอาหารบางร้านในบ้านเราในอนาคต

โดยรวมแล้ว ผมก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จะเน้นนำเสนอเป็นพิเศษนะครับ
โดยก็ขอเล่าแชร์ในหลาย ๆ เรื่องปะปนกันไปดังที่ได้เล่าไว้ข้างต้นครับ