เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๑๙
คุยเรื่องสุขภาพ (ตอนจบ) – หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวคุณเอง
งดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
(ต่อจากฉบับที่ ๒๑๘ คุยเรื่องสุขภาพ (ตอนที่ ๑๑) กรรม)
เราได้คุยกันในหัวข้อ “คุยเรื่องสุขภาพ” กันมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗
โดยในตอนนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายแล้ว
ซึ่งหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่คุยกันมาต่อเนื่องหลายเดือนและเนื้อหายาวมาก
ดังนั้น ก่อนที่จะจบหัวข้อนี้ ผมจึงเห็นว่าควรจะสรุปประเด็นพิจารณาให้
และควรถามตอบข้อสงสัยบางประการที่บางท่านอาจจะมีนะครับ
ชื่อเรื่องของตอนนี้ ผมยืมมาจากคำขวัญของกลุ่มแพทย์วิธีธรรมนะครับว่า
หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวคุณเอง หรือเราจะบอกว่าหมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเองก็ได้
ทำไมจึงได้บอกเช่นนั้น?
ตรงนี้ผมต้องขอทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า
ผมไม่ได้บอกว่า ตัวเราคือหมอที่ “เก่ง” ที่สุดในโลกนะครับ
แต่บอกว่าตัวเราคือหมอที่ “ดี” ที่สุดในโลก
ก็เพราะว่าดังที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด ๑๑ ตอนก่อนหน้านี้
การที่เราจะสามารถรักษาโรคได้ตั้งแต่ต้นน้ำ หรือรักษาโรคที่เกิดจากกรรมได้นั้น
ตัวเราเองเป็นผู้ที่จะสามารถประพฤติปฏิบัติเพื่อรักษาที่ต้นน้ำได้
ยกตัวอย่างเช่น อาการป่วยเกิดจากการทานอาหารไม่สมดุล
หรืออาการป่วยเกิดจากทานอาหารมากเกินไป
หรืออาการป่วยเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย
อาการป่วยเกิดจากการทำงานหนักเกิน และพักผ่อนไม่เพียงพอ
อาการป่วยเกิดจากการที่จิตใจเคร่งเครียดเกิน หรือมีจิตที่เป็นอกุศลมาก เป็นต้น
ซึ่งสังเกตว่าในอาการป่วยที่เกิดจากสาเหตุเหล่านี้
แม้ว่าเราจะไปหาหมอและหมอจะจ่ายยาอะไรให้แก่เรามาทานก็ตาม
แต่หากเราไม่ได้รักษาเหตุปัจจัยที่ก่อโรคที่ต้นเหตุแล้ว โรคก็ไม่มีทางหายได้เด็ดขาด
เพราะโรคก็ย่อมจะเกิดขึ้นอีกตามเหตุและปัจจัยที่เราสร้างไว้
ทีนี้ เนื่องด้วยเนื้อหามีอยู่มาก ผมจึงขอสรุปประเด็นพิจารณาว่า
เราควรจะไปศึกษาและพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเรื่องอะไรบ้าง อันได้แก่
๑. อาหาร โดยนอกจากจะทานอาหาร ๕ หมู่แล้ว
เราควรทานอาหารให้สมดุลร้อนเย็นด้วย ปริมาณอาหารไม่มากเกินไป
และไม่ควรทานอาหารที่ทำให้เสียสุขภาพ ถ้าอดไม่ไหว ก็ทานให้น้อย และไม่ทานบ่อย
๒. หาทางออกกำลังกายที่เหมาะสมกับร่างกาย และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
โดยในการออกกำลังกายนั้นไม่ได้เน้นเฉพาะกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ให้เพิ่มเรื่องลมปราณด้วย
๓. ดูแลจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่เคร่งเครียดเกินไป หรือโกรธ โลภ หรือหลงเกินไป
ควรให้จิตใจได้มีเวลาพักผ่อน และไม่นำสิ่งต่าง ๆ มาแบกใส่จิตใจจนเป็นภาระมากเกินไป
และไม่สร้างบาปอกุศลกรรม หรือประพฤติผิดศีลในเรื่องใด ๆ
๔. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ควรทำงานหนักเกินสมควร
๕. ในการใช้ชีวิตประจำวันควรลดละพฤติกรรมที่ทำให้เสียสุขภาพ เช่น
ใช้เครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นาน ๆ ดูโทรทัศน์นาน เล่นโทรศัพท์มือถือนาน ๆ
๖. แบ่งเวลาศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ (รวมถึงเรื่องการล้างพิษ)
เพื่อที่จะสามารถนำความรู้มาปรับใช้ดูแลตนเองและคนใกล้ตัวได้อย่างเหมาะสม
ในข้างต้นนี้ ผมได้สรุปประเด็นพิจารณาไว้ เพื่อที่จะให้ท่านจำได้ง่าย ๆ
แต่ว่ารายละเอียดในแต่ละเรื่องนั้นมีไม่น้อย
ท่านผู้อ่านจึงต้องไปศึกษารายละเอียดต่อไปด้วยนะครับ
โดยก็ได้อธิบายรายละเอียดในแต่ละเรื่องไว้แล้วในตอนก่อน ๆ นี้
ต่อมา ผมก็จะขอยกคำถามและคำตอบในบางประเด็น
ที่ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมีข้อสงสัยนะครับ ดังต่อไปนี้
ถาม – เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการเจ็บป่วยของเราเองเกิดจากอะไร
และควรปรับอาหารหรือพฤติกรรมอย่างไร เพื่อให้หายหรือบรรเทาจากอาการเจ็บป่วยนั้น
ตอบ – ตัวเราเองย่อมเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดนะครับว่า เราทานอะไร และเราใช้ชีวิตอย่างไรในแต่ละวัน
เราจะสามารถรู้ได้ว่าอาหารหรือพฤติกรรมอะไรที่ก่อโรคให้แก่เรานั้น
ก็ต่อเมื่อเราได้ศึกษาและมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเสียก่อน
โดยเมื่อเรารู้แล้วว่าอาหารหรือพฤติกรรมอย่างไรที่ทำให้เจ็บป่วย
และเรานำมาพิจารณาอาหารที่เราทาน และพฤติกรรมที่เราทำ
เราก็ย่อมจะสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่าเราควรปรับอาหารหรือพฤติกรรมอย่างไร
ถาม – อยากจะได้วิธีการที่ให้หายจากอาการเจ็บป่วยอย่างง่าย ๆ แบบทางลัด
โดยไม่ต้องใช้เวลาไปศึกษาอะไรมากมาย และไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรด้วย
ตอบ – ไม่มีวิธีการเช่นนั้นครับ โดยแม้วิธีการบางอย่างที่เราใช้แล้วอาการดีขึ้นก็ตาม
แต่พอใช้ไปสักระยะหนึ่งแล้ว ก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนก็ได้
เช่น เราเจ็บป่วยเพราะมีอาการร้อนเกิน เราจึงทานอาหารฤทธิ์เย็นมาก ๆ
แต่พอทานไปถึงจุดหนึ่ง ร่างกายเราสมดุล และอาการเจ็บป่วยดีขึ้นแล้ว
หากเรายังทานอาหารฤทธิ์เย็นมาก ๆ เหมือนเดิม ก็ย่อมจะทำให้มีภาวะเย็นเกิน
และทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยจากภาวะเย็นเกินนั้นได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว วิธีการดูแลรักษาสุขภาพตนเองนั้น ไม่ได้เป็นวิธีการที่ตายตัว
แต่จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพร่างกายและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นด้วย
ถาม – รายละเอียดเนื้อหาเรื่องการดูแลสุขภาพมีเยอะมาก
ศึกษาได้ไม่หมด จะทำอย่างไรดี
ตอบ – ต้องแบ่งเวลาศึกษาและทำความเข้าใจครับ
โดยแนะนำให้ศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจ และน่าจะเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยของตนเองก่อน
ซึ่งเราไม่ได้จำเป็นต้องศึกษาจนรู้ทุกเรื่อง
แต่ศึกษาแค่เฉพาะที่ดูแลสุขภาพตัวเรา และคนใกล้ตัวได้ก็ใช้ได้แล้ว
ถาม – อ่านบทความมา ๑๑ ตอนแล้ว ไม่เห็นแนะนำวิธีการรักษาโรคอะไรเลย
เช่น โรคมะเร็ง โรคกระเพราะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ เป็นต้น
ตอบ – แนะนำวิธีการรักษาไปหมดแล้วครับ คือการดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้สมดุล
ซึ่งเมื่อร่างกายมีความสมดุลและแข็งแรงแล้ว อาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่ก็หายได้ครับ
เช่น สมมุติว่าร่างกายมีก้อนเนื้อมะเร็งร้ายก็ตาม
ถ้าหากร่างกายเราแข็งแรงแล้ว เม็ดเลือดขาวก็สามารถจัดการเชื้อมะเร็งได้ครับ
ถาม – มีคนที่รู้จักใช้วิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งแล้วหายหรือได้ผลดี
เราควรจะลองใช้วิธีการเช่นเดียวกันนั้นหรือไม่
ตอบ – เราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า อาการเจ็บป่วยอย่างเดียวกัน
อาจจะไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวกันก็ได้
วิธีการรักษาที่ได้ผลดีกับอาการเจ็บป่วย เนื่องจากสาเหตุอย่างหนึ่ง
อาจจะไม่ได้ผลดีกับอาการเจ็บป่วยเนื่องจากสาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็ได้
ดังนั้นแล้ว เราต้องมีความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพ
แล้วพิจารณาว่าวิธีการรักษาดังกล่าวนั้นเหมาะสมกับอาการเจ็บป่วยของเราหรือไม่
หรือเป็นการรักษาที่สาเหตุของอาการเจ็บป่วยของเราหรือไม่
กรณีไม่ได้จำเป็นหรือสมควรจะไปทำตามเขาเสมอไปครับ
ไม่อย่างนั้นแล้ว หากสมมุติว่าเราไปพบว่าคนป่วย ๑๐ คน ใช้วิธีการรักษาไม่เหมือนกันแล้ว
เราก็จะต้องไปทำตามทั้งหมด ๑๐ วิธีเช่นนั้นหรือ
ถาม – นำความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพไปแนะนำคนใกล้ตัวแล้ว
แต่เขาไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตาม และเขาก็ยังป่วยอยู่อย่างเดิม
ตอบ – พึงนำความรู้ไปใช้เพื่อดูแลรักษาตนเองก่อนนะครับ
ในส่วนของคนใกล้ตัวนั้น เราก็แนะนำไปตามความเหมาะสม
แต่ถ้าเขาไม่ทำ เราก็พึงถืออุเบกขาเอาไว้ครับ
เปรียบเสมือนพระพรหมที่มี ๔ หน้า คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
เราไม่ควรทำตัวเป็นพระพรหม ๓ หน้าคือ มีเฉพาะเมตตา กรุณา และมุทิตาเท่านั้น
ในเมื่อเราช่วยสอนแนะนำเขาแล้ว ถ้าเขาเห็นประโยชน์ เขาก็เลือกทำได้
ถ้าเขาไม่เห็นประโยชน์ เราก็พึงถืออุเบกขาครับ
ไม่ควรไปยัดเยียดหรือบังคับคนใกล้ตัวว่าจะต้องทำอะไร
และพอเขาไม่ทำตามหรือเขาต่อต้านแล้ว เราก็ไปโกรธหรือโมโหเขา
อย่างนั้นแล้วไม่เหมาะสมครับ และแถมอาจจะทำให้เราป่วยเองก็ได้
ถาม – ที่แนะนำว่าไม่ให้ทานอาหารเยอะเกินสมควรนั้น
บางทีเราจำเป็นจะต้องทานอาหารให้หมด เพราะหากเหลือไว้ก็รู้สึกเสียดาย
ตอบ – ผมเห็นด้วยกับการประหยัดทรัพยากร
และการไม่ทานอาหารให้เหลือทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ นะครับ
แต่หากเรารู้สึกเสียดายอาหาร และไม่อยากให้อาหารเหลือนั้น
สิ่งที่ควรทำคือ เราจะต้องปรับตั้งแต่ตอนที่เราสั่งอาหาร หรือทำอาหารแล้ว
ยกตัวอย่างว่า เราไปทานอาหารนอกบ้าน เราก็สั่งอาหารแต่พอดี
ไม่สั่งอาหารมากเกิน ไม่ใช่ว่าเราสั่งมาเสียเยอะเกิน
เสร็จแล้วมาบอกว่าต้องทานให้หมด เพราะเสียดาย เกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร
กรณีเราทำอาหารทานเองอยู่ที่บ้านก็ทำนองเดียวกันว่า เราควรทำอาหารในปริมาณพอดี
ไม่ใช่ว่าเราทำอาหารในปริมาณเยอะเกิน แล้วบอกว่าต้องทานให้หมด เพราะเสียดาย
นอกจากนี้แล้ว ถ้าเราไปทานอาหารนอกบ้านแล้วทานไม่หมด เราก็ห่อกลับได้นะครับ
หากเกรงว่าจะเปลืองถุงหรือบรรจุภัณฑ์ เราก็เตรียมกล่องใส่อาหารไปด้วยก็ได้
ในขณะที่หากทำอาหารทานเองที่บ้านแล้ว
เราก็สามารถเก็บอาหารที่เหลือไว้ทานในมื้อต่อ ๆ ไปก็ได้
เราไม่ได้จำเป็นต้องทานให้หมดในมื้อนั้น ๆ
แม้ว่าทานหมดแล้ว อาจจะทำให้รู้สึกประหยัด และไม่เสียดายก็ตาม
แต่หากทำให้ไม่สบายตัว และเจ็บป่วยในระยะยาว ย่อมไม่คุ้มกันครับ
ถาม – อยากจะออกกำลังกาย แต่ไม่มีเวลา
ตอบ – แนะนำว่าให้เราพิจารณาเวลาที่เราใช้ในแต่ละวันว่าเราใช้เวลาทำอะไรบ้าง
โดยหาเวลาที่เราทำสิ่งไม่จำเป็น เช่น ใช้เวลานั่งดูโทรทัศน์ ดูละคร
เล่นเกม คุยแชทออนไลน์ อ่านข่าว ฟังเพลง นอนเยอะเกิน ฯลฯ
โดยเราย่อมจะเห็นได้ว่าเราใช้เวลาในแต่ละวันไปกับเรื่องไม่จำเป็นอยู่ไม่น้อย
ฉะนั้นแล้ว ข้ออ้างที่ว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายนี้
จริง ๆ แล้วเกิดจากการไม่ให้ความสำคัญมากกว่าครับ
หากเราให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายแล้ว เราก็จะหาเวลาได้
กรณีทำนองเดียวกับการแบ่งเวลาภาวนาในรูปแบบ
ซึ่งหากเราให้ความสำคัญกับการภาวนาในรูปแบบแล้ว เราก็จะสามารถหาเวลาได้
ถาม – การปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมบางอย่างที่เขียนมานั้น
ไม่สามารถที่จะทำได้ในชีวิตจริง เนื่องจากข้อจำกัดในหน้าที่การงาน และอื่น ๆ
ตอบ – เราก็พึงพยายามปรับเปลี่ยนเท่าที่จะทำได้ครับ
โดยหากทำได้มาก ก็เห็นผลมาก ทำได้น้อย ก็เห็นผลน้อย และไม่ทำเลย ก็ไม่ได้ผล
แต่ที่กล่าวอ้างว่าไม่สามารถทำได้เลยนั้น เห็นว่าไม่น่าจะใช่นะครับ
ยกตัวอย่างเช่น การทานอาหารในปริมาณไม่มากเกิน
หรือการไม่ทานอาหารรสจัด เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ครับ
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ตรงข้อจำกัดในเรื่องหน้าที่การงานหรือการใช้ชีวิตใด ๆ
อนึ่ง แม้ว่าเราจะไปทานอาหารร่วมกับคนอื่นหรือในกลุ่มหลาย ๆ คนก็ตาม
เราก็เลือกได้ว่าเราจะตักอาหารอะไรใส่จาน และใส่ปากนะครับ
ถ้าเราเลือกตักแต่อาหารเสียสุขภาพ เราก็จะเจ็บป่วยง่าย
ถาม – ในเรื่องการล้างพิษนั้นมีหลายวิธีมากมาย
เราจะทราบได้อย่างไรว่าวิธีการไหนเหมาะสมกับเราเอง
ตอบ – เราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพก่อนครับ
แล้วพิจารณาว่าอาการเจ็บป่วยของเราเองเกิดจากพิษสะสมอย่างไร
แล้วก็พิจารณาวิธีการล้างพิษที่เหมาะสมกับเหตุแห่งอาการเจ็บป่วยของตนเอง
ถาม – ได้ลองศึกษาและปฏิบัติในแนวทางแพทย์ทางเลือกที่แนะนำมาแล้ว
แต่ว่าไม่เห็นว่าอาการดีขึ้น หรือหายจากอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด
ตอบ – เราพึงพิจารณาว่าปฏิบัติได้ถูกกับเหตุปัจจัยที่ทำให้เจ็บป่วยหรือไม่
และได้ปฏิบัติได้พอสมควรแก่เหตุปัจจัยนั้นแล้วหรือยัง
ถ้าเจ็บป่วยเพราะเหตุหนึ่ง แต่ไปแก้ไขที่อีกเหตุหนึ่ง มันก็ไม่หายนะครับ
หรือปฏิบัติน้อยเกินไป ไม่สมควรแก่เหตุปัจจัยแล้ว มันก็ยังไม่หายครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็พึงยอมรับและอยู่กับความเจ็บป่วยด้วยใจที่เป็นกลางนะครับ
เพราะตราบใดที่ยังมีเกิด ก็ต้องมีเจ็บครับ ถ้าไม่อยากเจ็บ ก็ต้องไม่เกิด
ถาม – จะพิจารณาได้อย่างไรว่าร่างกายเราแข็งแรง
ตอบ – แนะนำให้พิจารณาตาม “กกจูปมสูตร”
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์) นะครับ ซึ่งบรรยายว่า
“รู้สึกว่ามีอาพาธน้อย มีความลำบากกายน้อย
มีความเบากายมีกำลัง และอยู่อย่างผาสุก”
แต่ถ้ารู้สึกมีอาพาธมาก มีความลำบากกายมาก หนักกาย ไม่มีกำลัง
หรือไม่เป็นอยู่ผาสุกแล้ว ก็เรียกว่าร่างกายไม่แข็งแรงครับ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=4208&Z=4442&pagebreak=0
ในท้ายนี้ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านที่สนใจก็น่าจะได้รับประโยชน์ตามสมควรนะครับ
ทั้งนี้ หากสนใจและได้ลองไปศึกษาในแพทย์ทางเลือกที่ผมแนะนำไปแล้ว
และเกิดมีข้อสงสัยหรือคำถาม โดยอยากจะอีเมลมากถามก็ได้นะครับ
แต่ประเภทที่ว่าส่งมาถกเถียงเอาสนุก โดยไม่ได้มีปัญหาอะไร ประเภทนี้ของดนะครับ
หรือประเภทที่ยังไม่ได้ศึกษาเท่าไรเลย และไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย
แล้วก็มาถามโดยหวังว่าจะทำให้เข้าใจได้อย่างเป็นทางลัดแล้ว
ประเภทนี้ก็ของดเช่นกันครับ เพราะถึงแม้ท่านจะถามมาก็ตาม
ผมก็จะตอบว่า ให้กลับไปอ่านสิ่งที่ได้เขียนไว้แล้ว
ดังนั้นแล้ว จึงแนะนำว่าให้ลองศึกษาให้เข้าใจ และทดลองปฏิบัติดูก่อน
ถ้าไม่เข้าใจประการใด ๆ หรือมีคำถามในทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ค่อยอีเมลมาถามนะครับ
มาถึงตรงนี้ เราก็จบซีรีส์เรื่องคุยเรื่องสุขภาพแล้วนะครับ
โดยในตอนหน้า เราก็จะคุยเรื่องอื่นกันครับ
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
หมายเหตุ ขณะนี้ศาลาปฏิบัติธรรมที่อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์
ได้สร้างฐานของศาลาเสร็จแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างหล่อเสาคอนกรีตครับ
โดยยังขาดแคลนปัจจัยสำหรับก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก
จึงขอเรียนเชิญญาติธรรมท่านที่สนใจร่วมสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม
เพื่อประโยชน์ในการจัดค่ายคุณธรรมสอนธรรมะแก่เด็ก ๆ เยาวชน
ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ดังต่อไปนี้
ชื่อบัญชี นายสันติ คุณาวงศ์ นางปราณี ศิริวิริยะกุล และนางพจนา ทรัพย์สมาน
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาแฟรี่แลนด์ นครสวรรค์
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 881-223306-7
ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมได้ที่
http://www.facebook.com/rooguyroojai
และสามารถติดตามความคืบหน้าของการเรี่ยไรและสำเนาหน้าสมุดบัญชีรับบริจาคได้ที่
กระทู้ในเว็บไซต์ลานธรรมตามลิงค์นี้ครับ
เชิญร่วมสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ชมรมเรียนรู้กายใจ จังหวัดนครสวรรค์