Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๑๕

ช้างสารชนกัน

ngod-ngam2 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

dharmajaree 215 

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
ผมยังคุยหัวข้อ “คุยเรื่องสุขภาพ” ไม่จบนะครับ
แต่ในฉบับนี้ ผมขออนุญาตพักเรื่องสุขภาพมาแทรกคุยเรื่องอื่นก่อน (เหมือนเช่นเคย)
ในฉบับนี้ขึ้นชื่อบทความว่าช้างสารชนกัน
เพราะนึกถึงภาษิตที่บอกว่า “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ”

เหตุที่นึกถึงภาษิตดังกล่าว เพราะช่วงเวลานี้ เรากำลังเข้าใกล้เหตุการณ์ที่สำคัญ
คือความล่มสลายของสกุลเงินดอลลาร์
ซึ่งพวกเราน่าจะได้มีโอกาสได้เห็นในช่วงเวลาระยะเวลาอันใกล้นี้
โดยความล่มสลายของเงินดอลลาร์นี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้
เพราะว่าสหรัฐอเมริกาพิมพ์สกุลเงินดอลลาร์ออกมาใช้จ่าย
โดยที่ไม่ได้มีทองคำ เงิน หรือทรัพย์สินอื่นใดหนุนหลัง
แต่กลับพิมพ์ออกมาใช้จ่ายเท่าใดก็ได้
จนในปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีหนี้ในบัญชีจำนวน ๑๘ ล้านล้านดอลลาร์
เทียบกับในสมัยที่บารัค โอบามารับตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น
สหรัฐอเมริกามีหนี้อยู่เพียง ๑๐ ล้านล้านดอลลาร์
เท่ากับว่าไม่ถึง ๘ ปีสหรัฐอเมริกาก่อหนี้ในบัญชีเพิ่มถึง ๘ ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากหนี้ในบัญชีแล้ว สหรัฐอเมริกายังมีหนี้นอกบัญชีอีกถึง ๑๒๗ ล้านล้านดอลลาร์
เช่นนี้แล้ว สหรัฐอเมริกาก็ย่อมจะไม่มีทางชำระหนี้ตนเองได้นะครับเพราะว่าตนเองเก็บภาษีได้ไม่ถึง ๒ ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
แถมในแต่ละปียังตั้งงบประมาณขาดดุลเฉลี่ยอีกปีละ ๑ ล้านล้านดอลลาร์
https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/306246892905025:0

แทนที่สหรัฐอเมริกาจะแก้ไขปัญหาหนี้สินและเงินสกุลดอลลาร์ตนเอง
ด้วยการประหยัดมัธยัสถ์ อดออม และขยันทำงานเพื่อใช้หนี้สินตนเอง
แต่กลับใช้เทคนิคทางการเงิน โดยใช้มาตรการ QE (Quantitative Easing)
หรือที่เรียกว่ามาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน
โดยเป็นนโยบายด้านการเงินที่ไม่เป็นแบบแผน
ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
มาตรการนี้กระทำโดยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ เป็นต้น
จากธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินของเอกชนทั้งในและนอกประเทศ
โดยใช้เงินที่ได้มาจากการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติม (Printing Money)
คือใส่เงินใหม่ที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนั่นเอง
โดยหากจะพูดง่าย ๆ แบบชาวบ้านก็คือการเพิ่มเพดานหนี้นั่นเอง
http://www.isstep.com/quantitative-easing-qe/

การที่สหรัฐอเมริกาแก้ไขปัญหาหนี้ล้นประเทศด้วยการสร้างหนี้เพิ่ม
และพิมพ์เงินออกมาเพิ่ม โดยที่ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง
เช่นนี้แล้วมูลค่าเงินดอลลาร์ก็จะต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดาครับ
เพราะเมื่อเหตุปัจจัยคือหนี้สินเยอะ ทางแก้ไขก็คือต้องลดหนี้ และชำระหนี้
ไม่ใช่ว่าไปสร้างหนี้เพิ่มเพื่อมาแก้ไขปัญหาหนี้สินเยอะ มันก็แก้ไขไม่ได้
ดังนั้นประเทศไหนก็ตามที่เก็บเงินดอลลาร์ไว้
ก็รอเวลาที่ดอลลาร์จะเสื่อมค่าลงเท่านั้นเอง ใครเก็บไว้ก็มีแต่ขาดทุน
เราจึงจะเห็นได้ว่าประเทศจีนพยายามที่จะเริ่มซื้อขายกับประเทศอื่น
โดยไม่ต้องใช้สกุลเงินดอลลาร์
แต่ใช้สกุลเงินหยวนและสกุลเงินท้องถิ่นประเทศนั้น ๆ แทน
ซึ่งในขณะนี้ ประเทศจีนได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินกับ ๑๑ ประเทศแล้ว
รวมทั้งรัสเซีย และประเทศไทยที่เรา ๆ ก็คงจะได้เห็นกันแล้วตามข่าวที่ผ่านมา

เหตุที่สหรัฐอเมริกาประสบกับความเสื่อมถอยของค่าเงินดอลลาร์
และกำลังจะประสบกับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง
ก็เพราะสหรัฐอเมริกาได้ทำสิ่งที่บรรพบุรุษตนเองได้ห้ามไว้
โดยในข้อ ๑๐ ของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเองนั้น
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เขียนไว้แล้วว่าการใช้เงินตรานั้นจะต้องใช้ทองหรือเงินเท่านั้น
กล่าวคือไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้เอง โดยไม่มีทองหรือเงินหนุนหลังได้
แต่ต่อมาระบบการเงินของสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนจากระบบที่ใช้ทองหนุนหลัง
มากลายเป็นระบบที่ไม่ใช้ทองหนุนหลัง และพิมพ์เงินออกมาเพิ่มเท่าไรก็ได้
อันเนื่องมาจากความฉ้อฉลในระบบการเงิน และการเมืองของสหรัฐอเมริกาเอง
ในรายละเอียดของความฉ้อฉลในระบบการเงินและการเมืองของสหรัฐอเมริกานั้น
ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านของดูคลิปนี้นะครับ (มีคำบรรยายภาษาไทยครับ)
http://youtu.be/bkq_GE77VnI

นอกจากนี้แล้ว การสร้างหนี้ในจำนวนมหาศาลของสหรัฐอเมริกานี้
ก็ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษตนเอง
โดยในอดีตนั้น George Washington ได้เคยเขียนถึง James Madison ว่า
No generation has the right to contract debts greater than
can be paid off during the course of its own existence.
แปลว่าไม่มีคนรุ่นใดที่จะมีสิทธิในการทำสัญญาสร้างหนี้สิน
เกินกว่าที่ตนเองจะสามารถจ่ายคืนได้ในระหว่างที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่

การที่ห้ามทำเช่นนั้น เพราะเท่ากับว่าเป็นการที่เราเอาเงินของลูกหลานในอนาคต
มาใช้เพื่อความสะดวกสบายของตนเองในปัจจุบัน
หรือกล่าวโดยง่าย ก็คือเราสร้างหนี้สินไว้เยอะแยะจนไม่มีปัญญาจะใช้
แล้วก็ให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเราไปใช้หนี้สินเยอะแยะดังกล่าวแทนเรา
รุ่นลูกหลานเราก็เดือดร้อนเพราะการสร้างหนี้สินของรุ่นเรา

โดยเวลาที่รัฐบาลออกพันธบัตรเพื่อกู้ยืมเงินนั้น
เรา ๆ คงทราบว่าภาษาอังกฤษเรียกพันธบัตรว่า “Bond” นะครับ
คำนี้มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Bondage”
ซึ่งแปลทำนองเดียวกับ “Slavery” หรือแปลว่า “ทาส”
ดังนั้นแล้วการที่กู้หนี้ยืมสินมาเยอะ ๆ เกินกำลังที่ตนเองจะใช้หนี้ได้นี้
นอกจากจะทำให้ตนเองเป็นทาสแล้ว ยังจะทำให้ลูกหลานเราเป็นทาสด้วย

ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน และรัสเซีย เป็นต้น ก็อ่านเกมออกนะครับว่า
สกุลเงินดอลลาร์กำลังไม่ไปไม่รอดและใกล้จะถึงจุดจบแล้ว
จึงเตรียมความพร้อมที่จะทิ้งระบบดอลลาร์
โดยสังเกตได้ว่าจีนและรัสเซียต่างทุ่มเงินซื้อทองคำมาเก็บไว้
โดยขณะนี้จีนมีทองคำสะสมไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
และรัสเซียมีทองคำสะสมไว้เป็นอันดับห้าของโลก
ก่อนหน้านี้ เราก็คงเคยได้ยินข่าวว่าเยอรมันเองก็ได้ติดต่อประเทศต่าง ๆ
ที่ตนเองฝากทองคำไว้ โดยขอนำทองคำที่ฝากไว้กลับมาเก็บไว้ที่ประเทศตนเอง
รวมทั้งได้ทวงถามทองคำจำนวน ๓๐๐ ตันที่ตนเองฝากไว้ที่สหรัฐอเมริกาด้วย
แต่สหรัฐอเมริกาก็ผัดผ่อนว่าจะคืนให้ในปี ๒๐๒๐ โน่น
แถมเยอรมันจะขอส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจดูทองคำที่ฝากไว้
สหรัฐอเมริกาก็ไม่ยอมให้เยอรมันส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบด้วยนะครับ

สหรัฐอเมริกาเห็นว่าจีน รัสเซีย และบางประเทศอื่น ๆ กำลังจะเริ่มทิ้งระบบดอลลาร์แล้ว
จึงพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางนะครับ
โดยในปัจจุบันก็พยายามจะทุบระบบเศรษฐกิจของรัสเซีย
ซึ่งนอกจากอาศัยเหตุกรณีความขัดแย้งในยูเครนมาออกมาตรการแซงชั่นรัสเซียแล้ว
สหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับกลุ่มโอเปคทุบราคาน้ำมันโลกลดลงต่ำลงกว่าครึ่ง
ทำให้รัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซ
ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยรายได้ที่เข้าประเทศรัสเซียก็ลดต่ำลงมาก
ทำให้เปิดโอกาสให้มีการโจมตีค่าเงินรูเบิ้ลได้
ซึ่งรัสเซียถูกโจมตีค่าเงินรูเบิ้ลจากที่ต้นปีเงินรูเบิ้ลมีมูลค่า ๓๓ รูเบิ้ลต่อ ๑ ดอลลาร์
ร่วงหล่นไปอยู่ที่จุดต่ำสุดที่มูลค่า ๘๐ รูเบิ้ลต่อ ๑ ดอลลาร์
ต่อมา รัสเซียได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นการตอบโต้ทำให้
ค่าเงินกลับมายืนอยู่ที่ ๕๔ รูเบิ้ลต่อ ๑ ดอลลาร์ในเวลานี้
ในส่วนของประเทศไทยที่นำเข้าน้ำมันนั้น เราก็สบายไป
เพราะว่าได้ซื้อและใช้น้ำมันในราคาถูกลง

จีนเองเห็นว่าหากรัสเซียโดนทุบร่วงแล้ว ตนเองก็จะเป็นรายต่อไปนะครับ
จีนจึงได้ทำข้อตกลงต่าง ๆ กับรัสเซีย ทั้งในเรื่องข้อตกลง Swap สกุลเงินหยวน กับรูเบิ้ล
และข้อตกลงที่จีนจะทำการซื้อก๊าซจากรัสเซีย
ทำให้มาตรการการโดดเดี่ยวรัสเซียของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ผลเท่าที่ควร
http://www.bloomberg.com/news/2014-11-10/russia-china-add-to-400-billion-gas-deal-with-accord.html

ทีนี้ หากสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเอาชนะในสงครามเศรษฐกิจนี้ได้แล้ว
ก็มีบทวิเคราะห์บางแห่งคาดการณ์ว่าสถานการณ์อาจจะพัฒนาไปถึงสงครามอาวุธ
กล่าวคือ อาจจะพัฒนาไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๓ ก็ได้
เพราะแต่ละประเทศที่ขัดแย้งกันนี้ก็มีอาวุธเยอะ รวมทั้งอาวุธนิวเคลียร์ด้วย
โดยเมื่อระบบดอลลาร์ล่มสลาย สหรัฐอเมริกาไม่มีทางใช้หนี้ได้
เงินดอลลาร์ก็ไร้มูลค่า ไม่ต่างกับกระดาษธรรมดา
พันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์จะกี่สิบ กี่ร้อย หรือกี่พันล้านเหรียญ ก็ไร้มูลค่า
แล้วถามว่าสหรัฐอเมริกาจะอยู่ได้อย่างไร
ทางออกที่เหลือก็มีเพียงพยายามสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวาย
เพื่อให้มีสงครามใหญ่ แล้วก็จะได้ล้างระบบ และจัดระเบียบการเงินโลกใหม่
อันนี้ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์คาดการณ์นะครับ
ในรายละเอียดนั้น ผมก็ขอแนะนำให้อ่านจากแฟนเพจนี้ครับ
https://www.facebook.com/ThanongFanclub

โดยสรุปแล้ว ในปี ๒๕๕๗ ที่ผ่านมานี้
สงครามเศรษฐกิจระหว่างประเทศมหาอำนาจได้เริ่มรุนแรงแล้ว
และในปี ๒๕๕๘ นี้ เราอาจจะได้เห็นผลกระทบหลาย ๆ อย่างที่จะเกิดขึ้น
ทั้งในเรื่องการโจมตีค่าเงิน การล่มสลายของสกุลเงินดอลลาร์ และ
อาจจะรวมไปถึงสงครามที่ใช้อาวุธหนักระหว่างประเทศ
หรืออาจจะพัฒนาไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๓ ก็ได้
ซึ่งเมื่อช้างสารชนกันแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้หญ้าแพรกเดือดร้อนไปด้วย

ถามว่าแล้วเราจะเตรียมความพร้อมของเราอย่างไร
บางคนก็อาจจะบอกว่าให้ซื้อทองมาเก็บไว้ดีไหม เป็นต้น
ตอบว่าทรัพย์สินวัตถุทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่าเราจะเก็บไว้ในรูปไหนก็ตาม
มีโอกาสที่จะเสื่อมค่า สูญหาย และถูกทำลายไปได้ทั้งหมดครับ
ทรัพย์ที่เราจะสามารถเก็บไว้ได้ และปลอดภัยจริง ก็คือ“อริยทรัพย์ ๗”
ประกอบด้วย ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา
โดยเมื่อทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม
บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=23&item=6&items=1&preline=0&pagebreak=0

ในส่วนของการหาเลี้ยงชีพ และการใช้จ่ายนั้น
เราพึงปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามคำสอน
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ย่อมจะปลอดภัยและดีที่สุดครับ
นอกจากนี้ เราพึงดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทครับ
โดยอกุศลใด ๆ ที่ยังไม่ได้ละ ก็พึงละให้ได้เสียก่อน
กุศลใด ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ก็พึงทำให้สำเร็จเสียก่อน

ใน “อัปปมาทสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต) ได้สอนว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ควรทำความไม่ประมาทโดยฐานะ ๔ ประการ
๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละกายทุจริต จงเจริญกายสุจริต
และอย่าประมาทในการละกายทุจริตและการเจริญกายสุจริตนั้น
จงละวจีทุจริต จงเจริญวจีสุจริต
และอย่าประมาทในการละวจีทุจริตและการเจริญวจีสุจริตนั้น
จงละมโนทุจริต จงเจริญมโนสุจริต
และอย่าประมาทในการละมโนทุจริตและการเจริญมโนสุจริตนั้น
จงละมิจฉาทิฐิ จงเจริญสัมมาทิฐิ
และอย่าประมาทในการละมิจฉาทิฐิและการเจริญสัมมาทิฐินั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุละกายทุจริต เจริญกายสุจริต
ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต
ละมิจฉาทิฐิ เจริญสัมมาทิฐิได้แล้ว
ในกาลนั้น เธอย่อมไม่กลัวต่อความตาย อันจะมีในภายหน้า”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=3285&Z=3296&pagebreak=0

ถ้าเราได้เตรียมความพร้อมของเราให้ดี และดำรงชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทแล้ว
แม้ช้างสารจะชนกันก็ตาม หญ้าแพรกก็จะไม่เดือดร้อนมากนัก
แต่ถ้าเราไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย และดำรงชีวิตอยู่ในความประมาทแล้ว
ช้างสารจะชนกันหรือไม่ก็ตาม หญ้าแพรกก็แหลกลาญได้เพราะความประมาทครับ


+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


หมายเหตุ ขอเรียนเชิญญาติธรรมท่านที่สนใจร่วมสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม
เพื่อประโยชน์ในการจัดค่ายคุณธรรมสอนธรรมะแก่เด็ก ๆ เยาวชน
โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ดังต่อไปนี้

ชื่อบัญชี นายสันติ คุณาวงศ์ นางปราณี ศิริวิริยะกุล และนางพจนา ทรัพย์สมาน
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาแฟรี่แลนด์ นครสวรรค์
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 881-223306-7

ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมได้ที่
http://www.facebook.com/rooguyroojai
และสามารถติดตามความคืบหน้าของการเรี่ยไรและสำเนาหน้าสมุดบัญชีรับบริจาคได้ที่
กระทู้ในเว็บไซต์ลานธรรมตามลิงค์นี้ครับ
เชิญร่วมสมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ชมรมเรียนรู้กายใจ จังหวัดนครสวรรค์