Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๒๐๐

ข้อแนะนำก่อนบวช (ตอนที่ ๑)

ngod-ngam2 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 dharmajaree

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลายท่านคงได้เห็นข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำการจับกุม
๕ เจ้าอาวาสวัดชื่อดัง ใน ๒ จังหวัดทางภาคเหนือที่เสพเมถุนเด็กผู้ชาย
ซึ่งนอกจากจะเป็นการประพฤติผิดพระวินัยร้ายแรงเป็นปาราชิกแล้ว
ยังเป็นการประพฤติผิดกฎหมายอีกด้วย เนื่องจากเด็กผู้ชายดังกล่าวมีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบและติดตามพฤติกรรมของเจ้าอาวาส ๕ รูปนี้
มาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว และเมื่อไปค้นในกุฏิของเจ้าอาวาสทุกรูปดังกล่าว
ยังได้พบซีดีลามกชายรักชาย ขวดสุรา เจลหล่อลื่น และวัตถุลามกอื่น ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวพระภิกษุทั้ง ๕ รูปทำการสละสมณะเพศ
และควบคุมตัวผู้กระทำผิดดังกล่าวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนประจำท้องที่
เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ในเรื่องดังกล่าว บางท่านอาจจะเห็นว่าอดีตพระภิกษุเหล่านี้
สมควรจะได้รับการลงโทษอย่างหนักตามกฎหมาย
แต่ในอันที่จริงแล้ว ไม่ว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำคุกนานเพียงไรก็ตาม
หรือแม้กระทั่งจะลงโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือต่อให้จะนำตัวไปประหารชีวิตก็ตาม
โทษที่ได้รับตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้น ก็ยังถือว่าเป็นโทษสถานเบา
เมื่อเทียบกับวิบากแห่งอกุศลกรรมที่จะได้รับในภายหน้า
จากการที่อดีตพระภิกษุเหล่านี้ได้ประพฤติตนทุศีลดังกล่าวนั้น

ใน “อัคคิขันธูปมสูตร” (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต) สอนว่า
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นไฟกองใหญ่ กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
จึงเสด็จออกจากทาง แวะประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ใกล้โคนไม้แห่งหนึ่ง
ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายเห็นไฟกองใหญ่โน้นที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่หรือไม่
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า การเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดกองไฟใหญ่โน้น
ที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่ กับการเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา
บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม อย่างไหนจะดีกว่ากัน?

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การที่บุคคลเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา
บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอันอ่อนนุ่มนี้ ดีกว่า
ส่วนการที่บุคคลเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดกองไฟใหญ่โน้น
ที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่นั้น ย่อมเป็นทุกข์มาก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะขอบอกเธอทั้งหลาย
จะขอเตือนเธอทั้งหลาย การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ
พึงเข้าไปนั่งกอดนอนกอดกองไฟใหญ่โน้นที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่นั้น ดีกว่า
เพราะแม้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย
ด้วยการเข้าไปกอดกองไฟใหญ่นั้นเป็นเหตุก็ตาม
แต่ผู้นั้นเมื่อตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะเหตุแห่งการเข้าไปกอดกองไฟใหญ่นั้นเป็นปัจจัย
ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีลนั้น เข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา
บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานแก่เขา
และผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษมีกำลังเอาเชือกหนังอันเหนียวแน่นพันแข้งทั้งสองข้างแล้วชักไปมา
เชือกหนังพึงบาดผิว บาดผิวแล้ว พึงบาดหนัง บาดหนังแล้ว พึงบาดเนื้อ
บาดเนื้อแล้ว พึงตัดเส้นเอ็น ตัดเส้นเอ็นแล้ว พึงตัดกระดูก
ตัดกระดูกแล้ว หยุดอยู่จดเยื่อในกระดูก เทียบกับการยินดีการกราบไหว้แห่งกษัตริย์
พราหมณ์ หรือคฤหบดี อย่างไหนจะดีกว่ากัน?

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การยินดีการกราบไหว้แห่งกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้ ดีกว่า
เพราะการที่บุรุษมีกำลังเอาเชือกหนังอันเหนียวแน่นพันแข้งทั้งสองข้างแล้วชักไปมา
เชือกหนังพึงบาดผิว บาดผิวแล้ว พึงบาดหนัง บาดหนังแล้ว พึงบาดเนื้อ
บาดเนื้อแล้ว พึงตัดเส้นเอ็น ตัดเส้นเอ็นแล้ว พึงตัดกระดูก
ตัดกระดูกแล้ว หยุดอยู่จดเยื่อในกระดูกนั้น ย่อมเป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะฯ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษมีกำลัง
เอาเชือกหนังอันเหนียวแน่นพันแข้งทั้งสองข้าง แล้วชักไปชักมานั้น ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากยินดีการกราบไหว้แห่งกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษมีกำลัง เอาหอกอันคมชโลมน้ำมันพุ่งใส่กลางอก
กับการยินดีอัญชลีกรรมของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น อย่างไหนจะดีกว่ากัน?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การยินดีอัญชลีกรรมของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น ดีกว่า
ส่วนการที่บุรุษมีกำลังเอาหอกอันคมชโลมน้ำมัน พุ่งใส่กลางอกนี้ เป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษมีกำลัง
เอาหอกอันคมชโลมน้ำมันพุ่งใส่กลางอกนี้ ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากยินดีอัญชลีกรรมของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษมีกำลังเอาแผ่นเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนาบกายตัว
กับการบริโภคจีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
อย่างไหนจะดีกว่ากัน?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การบริโภคจีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์
พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้ ดีกว่า เพราะการที่บุรุษมีกำลัง
เอาแผ่นเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนาบกายตัวนั้น เป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษมีกำลัง
เอาแผ่นเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนาบกายตัวนี้ ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากบริโภคจีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษมีกำลังเอาขอเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเกี่ยวปากอ้าไว้
แล้วกรอกก้อนเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเข้าในปาก
ก้อนเหล็กแดงนั้นจะพึงไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก ไหม้ลิ้น ไหม้คอ ไหม้อก
ไหม้เรื่อยไปถึงไส้ใหญ่ไส้น้อย แล้วออกทางทวารเบื้องต่ำ
กับการบริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
อย่างไหนจะดีกว่ากัน?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การบริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์
พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้ ดีกว่า ส่วนการที่บุรุษมีกำลัง
เอาขอเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง เกี่ยวปากอ้าไว้
แล้วกรอกก้อนเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเข้าในปาก
ก้อนเหล็กแดงนั้นจะพึงไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก ไหม้ลิ้น ไหม้คอ ไหม้อก
ไหม้เรื่อยไปถึงไส้ใหญ่ไส้น้อย แล้วออกทางทวารเบื้องต่ำนั้น เป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษมีกำลัง
เอาขอเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเกี่ยวปากอ้าไว้
แล้วกรอกก้อนเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเข้าในปาก
ก้อนเหล็กแดงนั้นจะพึงไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก ไหม้ลิ้น ไหม้คอ ไหม้อก
ไหม้เรื่อยไปถึงไส้ใหญ่ไส้น้อย แล้วออกทางทวารเบื้องต่ำนี้ ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากบริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษผู้มีกำลังจับที่ศีรษะหรือที่คอ แล้วให้นั่งทับนอนทับบนเตียงเหล็กหรือ
ตั่งเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง กับการบริโภคเตียงตั่งที่เขาถวายด้วยศรัทธา
ของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น อย่างไหนจะดีกว่ากัน?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การบริโภคเตียงตั่งที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์
พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้ ดีกว่า ส่วนการที่บุรุษผู้มีกำลัง จับที่ศีรษะหรือที่คอแล้ว
ให้นั่งทับหรือนอนทับเตียงหรือตั่งเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนั้น เป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษผู้มีกำลัง จับที่ศีรษะหรือที่คอ
แล้วให้นั่งทับหรือนอนทับเตียงหรือตั่งเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนี้ ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากบริโภคเตียงตั่งที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงถามภิกษุเหล่านั้นต่อไปว่า
การที่บุรุษมีกำลังจับมัดเอาเท้าขึ้นเอาหัวลง โยนลงในหม้อเหล็กแดง
ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง ผู้นั้นถูกไฟเผาเดือดดุจฟองน้ำในหม้อเหล็กแดงนั้น
บางครั้งลอยขึ้นข้างบน บางครั้งจมลงข้างล่าง บางครั้งลอยไปขวาง ๆ
กับการบริโภควิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้
อย่างไหนจะดีกว่ากัน?

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า การบริโภควิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์
พราหมณ์ หรือคฤหบดีนี้ ดีกว่า ส่วนการที่บุรุษมีกำลังจับมัดเอาเท้าขึ้นเอาหัวลง
โยนลงในหม้อเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง
ผู้นั้นถูกไฟเผาเดือดดุจฟองน้ำในหม้อเหล็กแดงนั้น บางครั้งลอยขึ้นข้างบน
บางครั้งจมลงข้างล่าง บางครั้งลอยไปขวาง ๆ นั้น เป็นทุกข์มาก

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนว่าสำหรับบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์แล้ว พึงให้บุรุษมีกำลัง
จับเอาเท้าขึ้น เอาหัวลง โยนลงในหม้อเหล็กแดง ไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง
ถูกไฟเผาเดือดดุจฟองน้ำ ในหม้อเหล็กแดงนั้น
บางครั้งลอยขึ้นข้างบน บางครั้งจมลงข้างล่าง บางครั้งลอยไปขวาง ๆ นี้ ดีกว่า
เพราะว่าต่อให้เขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตายก็ตาม
แต่เมื่อตายไปแล้ว ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย
แต่หากบริโภควิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์ พราหมณ์ หรือคฤหบดีนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น
และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสรุปว่า เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของชนเหล่าใด ปัจจัยของชนเหล่านั้น จักมีผลมาก
มีอานิสงส์มาก และการบรรพชาของเราทั้งหลายจักไม่เป็นหมัน มีผล มีกำไร
เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ตน ควรแท้ทีเดียวที่จะให้ประโยชน์นั้นสำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท
เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ผู้อื่น ก็ควรแท้ทีเดียวที่จะให้ประโยชน์นั้นสำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท
หรือเมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ทั้งสอง ก็ควรแท้ทีเดียวที่จะให้ประโยชน์ทั้งสองนั้นสำเร็จ
ด้วยความไม่ประมาท

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ และได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
ได้มีโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากของภิกษุ ๖๐ รูป
ได้มีภิกษุ ๖๐ รูป ลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ ด้วยเห็นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
ส่วนอีก ๖๐ รูป จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น สำเร็จเป็นพระอรหันต์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=2629&Z=2793&pagebreak=0

หลายท่านอาจจะเข้าใจว่าการที่ไปบวชบรรพชานั้นย่อมจะได้บุญกุศลมาก
แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไปนะครับ เพราะขึ้นอยู่กับการประพฤติในระหว่างที่บวชนั้นเป็นสำคัญ
หากประพฤติตนทุศีลแล้ว ก็ย่อมจะต้องไปอบายภูมิเช่นกัน
ในขณะที่หากพระภิกษุประพฤติทุศีลแล้ว ย่อมจะมีโอกาสจะไปอบายภูมิ
มากกว่าการเป็นฆราวาสธรรมดาเสียอีก
เพราะอย่างสมมุติว่าบุคคลคนหนึ่งเป็นฆราวาสที่ประพฤติทุศีล
และเขาได้ไปทานข้าวหรืออาหารที่คนอื่นให้หรือบริจาคมา ก็ไม่ได้เป็นโทษอะไร
แต่หากเป็นสมณะทุศีล แล้วไปฉันบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธาแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน
และผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ในอัคคิขันธูปมสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบว่า
หากเป็นพระภิกษุทุศีลแล้ว พึงเลือกฉันก้อนเหล็กแดงไฟร้อน ๆ ยังดีกว่า
เพราะเมื่อฉันลงไปแล้ว ก็ตายแค่คราวเดียว และการฉันนั้นไม่เป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ
แต่ว่าหากเป็นพระภิกษุทุศีลแล้วไปฉันบิณฑบาตที่โยมเขาถวายด้วยศรัทธาแล้ว
เมื่อตายไปย่อมไปอบายภูมิ (ซึ่งย่อมต้องได้รับวิบากกรรมในอบายภูมิเนิ่นนาน
เช่น อาจจะต้องกินก้อนเหล็กแดงไฟร้อนในนรกเนิ่นนานไม่รู้จบ เป็นต้น)

ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะบวชสั้น ๆ หรือจะบวชยาว ๆ ก็ตาม
การรักษาศีลของพระภิกษุเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับท่านที่บวชบรรพชานั้น
หากบางท่านเห็นว่าตนเองเข้าไปบวชไม่นาน ก็ประพฤติตนอย่างไรก็ได้
เพราะเดี๋ยวก็จะสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้ว ก็ไม่ได้สนใจรักษาศีลของพระภิกษุ
การบวชบรรพชานั้นกลับจะเป็นโทษหนักมหันต์แก่ตัวเขาเองครับ
(ขอคุยต่อในคราวหน้าครับ)