Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๙๓

ได้ของดีแล้วไม่รู้

ngod-ngam2 งดงาม
  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 dharmajaree-193

ในช่วงเดือนสิงหาคมของปีที่แล้ว ผมและภรรยาได้เดินทางไปต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
เหตุผลที่ไปต่างจังหวัดคราวนั้น เพราะว่าได้สมัครบัตรสมาชิกเครือโรงแรมหนึ่งไว้

โดยสมาชิกมีอายุหนึ่งปี ซึ่งขณะนั้น บัตรใกล้จะหมดอายุสมาชิกแล้ว แต่เพิ่งได้ใช้บัตรไปเพียงหนเดียว
ยังมีคูปองห้องพักฟรีอยู่ใบหนึ่ง และคูปองลดค่าห้องพัก ๕๐
% อยู่อีกใบหนึ่ง
(คูปองอื่น ๆ ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว)
เราจึงหาโอกาสที่จะใช้ห้องพักฟรีเสียก่อนที่บัตรจะหมดอายุ
ตอนที่สมัครบัตรสมาชิกในตอนแรกนั้น ก็คาดหวังว่าน่าจะมีโอกาสได้ใช้บัตรพอสมควร
แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้ว กลับไม่ได้มีโอกาสไปไหนเท่าไร

ภรรยาผมได้ใช้เอกสิทธิ์ในการเลือกโรงแรมที่จะไปพัก ซึ่งเป็นโรงแรมอยู่ริมทะเล
ส่วนผมทำหน้าที่รับผิดชอบการเดินทาง คือขับรถพาเธอไปยังสถานที่ที่เธอได้กำหนดไว้
เมื่อไปถึงโรงแรมที่ได้จองไว้แล้ว เข้าไปเช็คอินแล้ว เจ้าหน้าที่ก็พาไปยังห้องพัก
โดยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง Low Season คือนักท่องเที่ยวน้อยนะครับ

พอเข้าไปในห้องพักแล้ว ปรากฏว่าเราได้ห้องพักชั้นล่าง
มองออกไปด้านนอกประตูระเบียงก็เห็นวิวทะเล และสามารถเดินออกไปได้
ภรรยาเห็นแล้วก็บอกผมว่า “ห้องนี้ไม่ดี เขาน่าจะให้ห้องดีกว่านี้”

ผมถามว่า “ทำไมล่ะ ก็ดูดีนะ”
ภรรยาอธิบายว่า “ห้องอยู่ชั้นล่าง ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย มามองออกไปด้านนอกสิ
เห็นไหมมีคนเดินไปเดินมาถ่ายรูปด้วย” ว่าแล้วเธอก็ชี้ให้ผมดูกลุ่มคนที่มาเดินถ่ายรูป
ผมถามว่า “ห้องข้างบนดีกว่าเหรอ?
ภรรยาตอบว่า “ห้องข้างบนดีกว่า”

ผมถามว่า “จะลองขอเปลี่ยนห้องไหม เพราะทางโรงแรมน่าจะมีห้องอื่นว่างเยอะนะ”
แต่สรุปแล้ว ภรรยาก็ไม่ได้ขอให้ผมลองขอเปลี่ยนห้องนะครับ
เพราะในตารางเดินทางของเธอนั้น เธอได้วางแผนไปสถานที่ต่าง ๆ เยอะอยู่แล้ว
โดยเราไม่ได้มีโอกาสจะอยู่ในโรงแรมนาน ๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นจะอยู่ห้องชั้นล่างหรือชั้นบนก็ไม่ได้ต่างกัน
แต่เธอก็บอกผมว่า “ไม่ต้องต่อสมาชิกบัตรนะ เพราะเขาเอาห้องไม่ดีมาให้”
ผมตอบว่า “ถึงจะให้ห้องดีแค่ไหน ก็ไม่ต่อสมาชิกอยู่แล้ว
เพราะนี่ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้บัตรสมาชิกเลย”
แต่ผมก็สงสัยนะครับว่าในเมื่อเป็นช่วง Low Season แล้ว แขกเข้าพักก็น้อย
ห้องพักก็ว่างเยอะแยะ ทางโรงแรมจะเก็บห้องพักดี ๆ ไว้ทำไม
เขาน่าจะนำมาจัดให้แขกที่เป็นสมาชิกได้พัก วันหลังจะได้ต่อบัตรสมาชิก แล้วก็ได้มาพักอีก

พวกเราได้จองห้องพักไว้ ๒ คืน ๓ วันครับ
โดย ๒ วันแรกนั้น เราไม่ได้อยู่ในโรงแรมเท่าไร เพราะไปตระเวนสถานที่ต่าง ๆ ครับ

ซึ่งก็มักจะเป็นตามวัดต่าง ๆ หรือสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งตามที่ภรรยาได้เลือกไว้
ในช่วงเช้าวันที่ ๓ ซึ่งเป็นวันที่พวกเราจะเดินทางกลับ

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เราพอมีเวลาว่างอยู่พอสมควร
ภรรยาผมก็บอกว่า เราไปเดินดูโรงแรมสักหน่อยดีกว่า
พวกเราจึงได้ไปเดินดูภายในบริเวณโรงแรม


หลังจากเดินไปดูบริเวณรอบ ๆ แล้ว พวกเราก็เดินกลับมาที่บริเวณห้องพัก
พอกลับมาใกล้ถึงบริเวณห้องพักตนเองแล้ว
ผมก็ยังเห็นว่าบริเวณด้านนอกห้องพักผมนี้ ยังมีกลุ่มคนมายืนถ่ายรูปอยู่เลย
ผมรู้สึกว่า “อืมม์ มันไม่เป็นส่วนตัวจริง ๆ ด้วยนะ”
ผมมองขึ้นไปที่ชั้น ๓ ของอาคารเดียวกันเหนือห้องพักผม
เห็นห้องหนึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยืนคุยกัน ๓ คน
โดยพวกเขายืนคุยกันแล้วก็ชี้ลงมาข้างล่างเหมือนให้ดูนั่นดูนี่
แล้วผมก็มองไปที่นักท่องเที่ยวอีก ๒ – ๓ กลุ่มที่กำลังยืนถ่ายรูปกันในบริเวณตรงนั้น

ผมกลับเกิดความเข้าใจใหม่ขึ้นมาว่า “จริง ๆ แล้ว ทางโรงแรมเขาจัดห้องพักดีให้เรานะ”
เพราะว่าเป็นห้องพักที่วิวดีมาก และเปิดประตูก็เดินผ่านระเบียงแล้วออกมาที่ริมทะเลได้เลย
ด้วยความที่เป็นวิวที่ดีนี่เอง คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีคนมาเดินถ่ายรูปบ่อย ๆ ในบริเวณนั้น
แล้วทำให้เรารู้สึกว่าพลุกพล่าน และไม่มีความเป็นส่วนตัว


เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ผมก็ชี้ให้ภรรยาดู และอธิบายให้เธอฟัง
เธอได้ฟังแล้วก็เข้าใจและเห็นตรงกันนะครับว่า
ทางโรงแรมได้จัดห้องพักดีให้กับเราแล้ว
เพียงแต่ว่าเราไม่ทราบหรือไม่เข้าใจเองต่างหากว่าห้องพักเราดีอยู่แล้ว
(แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ไม่ต่อสมาชิกอยู่ดี เพราะไม่มีเวลาได้ใช้ประโยชน์ครับ)

เรื่องที่ว่าเราได้ของดีมาแล้ว แต่ว่าเราไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ หรือไม่ให้ความสำคัญนี้
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในชีวิตของคนเรานะครับ
บางคนไม่เห็นความสำคัญของคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ หรือคนอื่น ๆ ในครอบครัว
มัวแต่เอาเวลาไปใช้วุ่นวายกับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นคนไกลตัว
แม้กระทั่งในเวลาที่เรากำลังอยู่ใกล้กับพ่อแม่ หรือคนอื่น ๆ ในครอบครัวก็ตาม
แต่เรากลับไปมัวสนใจเปิดอ่านเฟสบุ๊ค หรือไลน์ของคนอื่นหรือใครก็ตามที่ไม่ได้สำคัญกับเรา
แต่พอเมื่อพ่อแม่หรือคนในครอบครัวจากไปแล้ว หรือเราไม่มีโอกาสที่จะทำดีกับเขาแล้ว

เราจึงค่อยสำนึกได้ และเสียใจภายหลัง
อย่างนี้เรียกว่ามีคนดีอยู่ใกล้ตัวแล้ว แต่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นคุณค่า


บางคนไม่เห็นความสำคัญของเวลาชีวิตตนเอง มัวแต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ
หรือทุ่มเทใช้ชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญหรือแก่นสารของชีวิต
บางคนทุ่มเทชีวิตเพื่อทำงานหาเงิน ทั้ง ๆ ที่ชีวิตตนเองก็มีพอใช้หรือเหลือเฟืออยู่แล้ว
ในขณะที่ไม่ได้ใช้เวลาไปเพื่อทำสิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่เป็นแก่นสารสำหรับชีวิตตนเองจริง ๆ
แต่เมื่อเวลาใกล้หมดลงหรือเวลาหมดลงแล้ว จึงค่อยสำนึกได้ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว

บางคนไม่เห็นความสำคัญในความเป็นมนุษย์ของตนเอง
คำว่า “มนุษย์” นั้นแปลว่า “ผู้มีใจสูง” กล่าวคือต้องมีศีล ๕ เป็นคุณสมบัติขั้นต่ำ
แต่ว่าบางคนไม่เห็นความสำคัญของความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นความสำคัญของศีล
กลับยอมทำผิดศีล ทิ้งศีล เพื่อไปแลกกับวัตถุนิยมบางอย่าง
เช่น ไปแลกกับเงินทอง สิ่งของ ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือสิ่งอื่น ๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าเพียงพอที่จะมาเทียบกับความเป็นมนุษย์ได้เลย
แต่บางคนกลับยอมสละความเป็นมนุษย์เพื่อไปแสวงหาสิ่งที่ด้อยค่ากว่าเหล่านั้น
และเมื่อใกล้จะจากภพความเป็นมนุษย์ไปแล้ว จึงค่อยสำนึกได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว

เคยมีญาติธรรมท่านหนึ่งส่งสุภาษิตจีน (แปล) มาให้ผมทางไลน์นะครับ
สุภาษิตเขาบอกว่า เวลาที่มือเราสกปรก เราก็ไปล้างมือ
เวลาที่เท้าเราสกปรก เราก็ไปล้างเท้า
แต่เวลาที่ใจเราสกปรก เรากลับไม่สนใจชำระล้างความสกปรกในจิตใจเราเอง
ทั้งที่จิตใจสำคัญกว่า และควรจะต้องชำระล้างให้สะอาดกว่ามือ และเท้าเสียอีก

สรุปนะครับ เราไม่ควรทำตัวในลักษณะที่ว่ามีของดีอยู่แล้ว
แต่เราไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ
มีคนดี มีคนสำคัญอยู่ในชีวิตตนเองแล้ว พึงให้ความสำคัญกับคนเหล่านั้น
มีเวลาชีวิต มีโอกาสในชีวิตแล้ว พึงใช้ทำสิ่งที่เป็นแก่นสารสำคัญต่อชีวิตเรา

มีความเป็นมนุษย์แล้ว พึงรักษาไว้ และใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตจิตใจให้ดียิ่งขึ้นไปครับ