Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๗๖

eddy_cover

อยู่กับมะเร็ง

โดย aston27
aston2


bank-176

Q :เป็นมะเร็งค่ะ เหนื่อยและทรมานมาก หมอวินิจฉัยไม่ตรงกัน
ทำให้ทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปมา มันยิ่งเหนื่อยทับซ้อน
พยายามทำใจ อ่านธรรมะบ้าง สมาธิบ้าง ทำบุญบ้าง แต่มันก็ทนไม่ไหวอยู่ดีค่ะ
พอเหนื่อย ไม่ไหว ก็อยากหนีการรักษา ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะจะทำให้แย่กว่าเดิม แต่มันเจ็บเหลือเกิน

  
A : ย้อนไปสมัยที่ผมยังกลัวตายอยู่ เพราะยังไม่ได้ภาวนามากพอ 
ผมเคยสงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงต้องกลัวตาย 

ถามตัวเองอยู่นาน จนได้คำตอบว่าที่กลัวตายน่ะ

เพราะกลัวว่าจะทรมานก่อนตาย หนึ่ง
และกลัวชีวิตหลังความตาย อีกหนึ่งสาเหตุ

ทุกวันนี้ เลิกกลัวไปแล้ว เพราะเชื่อที่ครูบาอาจารย์สอนให้เจริญมรณสติ 
คอยหมั่นระลึกเสมอๆว่า ลมหายใจนี้อาจจะเป็นลมสุดท้ายของชีวิตนี้

ถ้าจะตายก็ตายตาหลับ เพราะทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ทั้งบุญทั้งบาปที่ทำมา 
หักลบกลบหนี้ลงบัญชียมบาลแล้ว ก็สบายใจว่าชีวิตนี้คงไม่ขาดทุน
ฉะนั้น ชีวิตหลังความตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีก

ใครเคยเบียดเบียนผมไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน
ทั้งที่เขาเจตนา หรือไม่เจตนา ผมก็อโหสิให้ทุกวัน ไม่ติดใจจะเอาคืน
ใครที่ผมเคยเบียดเบียน ผมก็ขออโหสิกรรม ทำบุญทำกุศลทุกครั้งก็ส่งให้ทุกคน 

ส่วนเรื่องกลัวว่าทรมานก่อนจะตาย อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเพราะไม่เคยลอง
คือคอยฝึกแยกเวทนา ความเจ็บปวด ออกจากจิตมาบ้างแล้ว ตอนทำฟัน
แต่ไม่รู้ว่าพอลงสนามจริง จะกลายเป็นสิงห์สนามซ้อมหรือเปล่า 

และในบรรดาโรคที่ผมเคยกลัวมากว่าจะเป็น ก็คือโรคมะเร็ง 
ไม่ได้กลัวเพราะมันเป็นแล้วจะต้องตาย เพราะถึงไม่เป็นก็ต้องตาย
แต่กลัวเพราะใครๆก็บอกว่า ขั้นตอนการรักษา โดยเฉพาะวิธีให้เคมี 
ค่อนข้างทรมานเอาเรื่อง แถมยังใช้สตางค์มากโขอยู่

ผมถึงกับเคยเปรยกับคนใกล้ตัวว่า ถ้าผมป่วยเป็นมะเร็งจริง
ก็ขอไม่ใช้วิธีเคมีบำบัด เพราะเคมีไป ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะหาย 

ต่อให้เคมีบำบัดแล้วหาย ตื่นเช้ามาอาจจะสะดุดไม้จิ้มฟัน 
ตกบันไดคอหักตายอยู่ดี ซะงั้น ใครจะไปรู้ล่ะครับ 

ผมว่าคนเรามีสิทธิเลือกนะ ว่าจะเมื่อไหร่ควรจะสู้ 
เมื่อไหร่ควรจะยอมจำนนต่อโรคภัยไข้เจ็บ 
หรือเลือกว่าจะตายแบบธรรมชาติๆ

หรือกระเสือกกระสนอยู่ต่ออีกหน่อยด้วยเคมี 

กลัวแต่สลบไป ตื่นมาเจอใส่เครื่องช่วยหายใจนี่สิ 

ผมไม่มีคำตอบอะไรเจาะจงให้คุณเป็นพิเศษหรอกนะครับ
แต่มานั่งคุยด้วย แบ่งปันความรู้สึกในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ 

อย่างน้อย แวะไปเยี่ยมดู facebook คุณมาแล้ว ก็สบายใจ 
เพราะดูคุณอารมณ์ดี มีเพื่อนดี ครอบครัวดี มีธรรมะด้วย 

ที่บอกได้อย่างหนึ่งคือ ร่างกายจะป่วยจะไข้ มันเรื่องสุดวิสัย 
แต่จิตใจจะป่วยตามร่างกายด้วยไหม นี่อีกเรื่องเลยนะครับ

จะรักษาชีวิต ก็ต้องให้หมอรักษากายของจัดการไป 
ส่วนจิตใจ เราใช้ธรรมะเป็นยารักษาใจตัวเองไว้

ธรรมะที่ดีที่สุด อยู่ในกาย ในใจนี้ เขาแสดงตัวอยู่ตัวตลอดเวลา
อยู่ที่ใจเรานี่เองนะ ว่ามีคุณภาพดีพอจะเห็นมั้ย 

บางคนภาวนาตอนชีวิตปกติสบายดีก็งั้นๆ เพราะชีวิตมันเรื่อยๆเฉื่อยๆ
แต่พอเจ็บไข้ป่วยหนัก ถึงภาวนาก้าวหน้าปรื้ดๆ 
เพราะมีเหตุ มีปัจจัย มากระตุ้นให้เราอยู่กับทุกข์ เห็นทุกข์ 
ต้องมีสติ มีปัญญามากๆ ไม่งั้นทุกข์มันเล่นงานตายเลย 

หลวงพ่อปราโมทย์ฯ ท่านเคยให้ข้อคิดว่า 
มะเร็งไม่เคยชนะมนุษย์ได้เลยนะ อย่างมากก็เสมอกัน 
เพราะตอนร่างกายเราตาย มะเร็งก็ตายด้วย

ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวมันมากหรอกครับ

ส่วนตัวเวทนา ถ้ามีมากนัก ก็เอามันมาเป็นเครื่องภาวนา
นอนหรือนั่งดูร่างกายหายใจ จะพุทโธพร้อมลมหายใจเข้าออก ก็ได้
จะพุทโธเฉยๆ จะพุทโธแล้วนับ ๑ ๒ ๓ จะพุทธังสรณังคัจฉามิฯ ก็ได้

คำบริกรรมหรือบทสวดไม่เป็นสาระสำคัญ 
ขอให้ใจรู้ที่สิ่งนั้นให้ต่อเนื่อง สิ่งเดียว จนจิตเกิดสมาธิตั้งมั่น

แล้วค่อยเอาจิตที่ตั้งมั่นไปรู้เวทนา 
จะเห็นเวทนา ความเจ็บปวด โผล่ขึ้น แทรกขึ้นมาในร่างกาย
เห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาก็อีกส่วน จิตที่ไปรู้กาย รู้เวทนา ก็อีกส่วน

แบบนี้คือวิธีภาวนาสำหรับคนเจ็บหนัก 
ถ้าตายไปในอาการนี้ มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าไปสุคติแน่ๆ
เผลอๆตอนตายถ้าจิตวางกาย วางจิตดีๆ อาจมีอริยมรรคให้เห็น

ไม่จำเป็นต้องมองแต่ด้านลบของมะเร็งและความป่วยไข้นะครับ 
บุญรักษา และอนุโมทนาด้วยนะครับ