Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๗๕

eddy_cover

ชูชีพ หรือชูใจ

โดย aston27
aston2

175

ขออภัยที่หายไปสองตอนนะครับ ช่วงนี้ผมยุ่งกับการปิดต้นฉบับหนังสือใหม่
และมีงานต้องเดินทางไปหลายที่มาก ทั้งในประเทศต่างประเทศ

ข้อดีในความวุ่นวายก็คือ การเดินทาง ทำให้เราได้เห็นด้านอื่นๆของโลก
อย่างอเมริกา ที่ผมไม่เคยนึกฝันว่าจะไป เพราะมันไกลเหลือเกิน
แต่ด้วยงานที่ทำ เขาส่งไป เราก็ต้องไป เพราะเป็นลูกจ้างเขาน่ะ
แถมมองในแง่ดีได้ว่า ก็ได้เดินทางฟรีๆ ไม่ต้องออกเงินเอง

ถ้าจะจัดหมวดของงานในโลกนี้ คงมีหลายวิธี
แต่สำหรับผม งานมีสองประเภท คืองานที่ชูชีพกับงานที่ชูใจ
งานที่เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ ไม่เป็นภาระใคร เรียกว่างานชูชีพ
งานที่ทำแล้วอาจจะไม่รวย แต่ให้ความสุขทางใจได้ เรียกว่าชูใจ

มีคนอายุน้อยๆที่กำลังจะเรียนจบมาถามผมบ่อยๆว่า
ระหว่างงานที่เขารักแต่ได้ตังค์น้อย
กับงานที่ไม่ค่อยรักแต่ได้ตังค์เยอะ ควรจะเลือกแบบไหน

ผมตอบว่า มันแล้วแต่เงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนนะ
คือบางคนทำบุญมาดี ที่บ้านฐานะดี ทุกคนอยู่ดี ไม่มีภาระ
ถ้าเจองานที่ตัวเองรักแล้วจะเลือกงานที่ได้ตังค์เยอะไปทำไม

แต่ถ้าประเภทบ้านเป็นหนี้ ฐานะไม่ค่อยดี พ่อแม่ป่วยไข้ ต้องใช้เงินรักษา
มีน้องต้องส่งเรียนหนังสือ แบบนี้ก็ต้องยอมรับความจริงว่า
งานที่เรารักอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเราในช่วงนี้

เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๑๑ มีชายชาวโรมาเนียคนหนึ่ง ชื่อบ็อกดาน เอลิน โอต้า
ไปปรากฏตัวในฐานะผู้เข้าแข่งขันในรายการ Norway’s Got Talent

บ็อกดาน เล่นเปียโนและรักดนตรีมาตั้งแต่ ๗ ขวบ
เขาเรียนจบในสาขาดนตรีคลาสสิกจากสถาบันดนตรีที่มีชื่อเสียงในบูดาเปสต์
แต่ปัญหาเศรษฐกิจและความยากจน ทำให้เขาต้องอพยพจากโรมาเนีย
เข้ามาหางานทำในนอร์เวย์ ก่อนจะเข้าประกวดและได้อันดับที่ ๒

บ็อกดานเล่าว่าตอนมาอยู่นอร์เวย์ เขาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานเป็นพนักงานยกของ
ให้กับร้านขายเครื่องถ่ายเอกสาร

นึกออกไหมครับ เวลาเราซื้อของชิ้นใหญ่ๆ แล้วมีรถมาส่งที่บ้าน
จะมีคนนั่งติดมาในรถ เพื่อยกของลงให้เรา นั่นแหละงานของบ็อกดาน

ถามว่าบ็อกดาน ทิ้งความฝันของตัวเองที่จะเป็นนักดนตรีหรือเปล่า เปล่าครับ
คุณสมบัติหนึ่งของความฝันคือ มันไม่มีวันหมดอายุ ตราบใดที่เราไม่ลืมมัน

บ็อกดานบอกว่าผมทำงานประจำเพื่อเลี้ยงชีพ ให้มีขนมปังมาวางบนโต๊ะ
ส่วนเวลาว่างนอกจากนั้น คือเวลาที่ผมจะทำงานดนตรีที่ผมรัก

บ็อกดานไม่ได้เป็นตัวอย่างเดียวของคนที่รู้จักทำงานชูชีพ
เพื่อรอเวลาและโอกาสที่จะทำงานที่ชูใจ ซึ่งอาจจะชูชีพด้วย

ดารานักร้องชื่อดังๆหลายๆคนที่เรารู้จักดี
ล้วนแต่เคยผ่านงานชูชีพมาแล้วทั้งนั้น โดยไม่ปริปากบ่น
เพราะทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

สำหรับผม การสนใจเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรม ขัดเกลากิเลสตัวเอง
ก็นับเป็นงานที่ชูใจอย่างยิ่งงานหนึ่ง
เพราะช่วยพัฒนาระดับคุณภาพจิตให้สูงขึ้น พ้นห่างจากทุกข์ไปเรื่อยๆ

ข้อเสียของงานชูชีพหลายๆงาน อย่างเดียวที่ผมเห็นคือ
บางทีมันดูดพลังของชีวิตมากเกินไป บางคนถึงรู้สึกอ่อนล้ามาก

เป็นเหตุผลว่า ทำไมเวลาเราได้ปฏิบัติภาวนา เจริญสติทำสมาธิบ้าง ถึงรู้สึกดี
เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ทุกครั้งที่ทำ

แถมยังเป็นงานที่ทำได้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ เมื่อรู้หลัก
เหมือนสำนวนท่านอาจารย์พุทธทาสที่บอกว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”

ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสิครับ

สุขสันต์วันที่เรายังมีชีพให้ชูอยู่นะครับ