Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๔๙

eddy_coverนิทาน : ทุฏฐลิจฉวี

โดย aston27
aston2

bank-149

(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

ผมไปอ่านเจอนิทานชาดกเรื่องหนึ่งเข้า แล้วชอบใจ
วันนี้เลยจะขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่านิทานให้อ่านกัน

ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองไพสาลีอันใหญ่โตสวยงาม มีกำแพงล้อมถึงสามชั้น
มีกษัตริย์ปกครองเป็นคณะถึง ๗,๗๐๐ องค์
อุปราช เสนา อำมาตย์ อย่างละ ๗,๗๐๐ คนเช่นกัน

ในบรรดาพระโอรสของพระราชาเหล่านั้น
มีราชกุมารผู้หนึ่งพระนามว่า ทุฏฐลิจฉวี
เป็นคนขี้โมโห ดุร้ายหยาบคาย พ่อแม่ ญาติ ครูบาอาจารย์คนไหนก็สอนไม่ได้

พระบิดาพระมารดาเห็นว่าท่าจะไม่ได้การ
เลยพาตัวไปกราบพระพุทธเจ้า ขอให้ช่วยอบรม
พระศาสดาก็ทรงเมตตา สอนราชกุมารทุฏฐลิจฉวี ใจความว่า…

...ดูก่อนกุมาร เธอไม่ควรจะเป็นคนดุร้ายหยาบคาย ร้ายกาจ ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นเลย
เพราะขึ้นชื่อว่าคนมีวาจาหยาบ ย่อมไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ
ต่อให้เป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้า ต่อให้เป็นบุตรภรรยา พี่น้องชายหญิง ญาติมิตร
ล้วนแต่ไม่มีใครชอบใจ ทั้งยังเป็นเหตุให้ใจไม่สงบ เพราะทำให้มีศัตรูมาก

ถ้าจิตตอนตายมีความโกรธอยู่ ก็หนีไม่พ้นไปเกิดในนรก
ตอนที่ยังไม่ตาย ถึงจะแต่งกายงดงามก็คงยังมีผิวพรรณเศร้าหมองอยู่นั่นเอง
คนที่โกรธมาก สามารถฆ่าตนเองตาย ดื่มยาพิษตาย ผูกคอตาย
โดดเขาตาย ครั้นตายด้วยอำนาจความโกรธอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น

แม้จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ย่อมเป็นคนมีโรคมากตั้งแต่เกิด
ฉะนั้น เธอพึงมีจิตเมตตา อ่อนโยนในสรรพสัตว์ จะได้รอดพ้นจากภัยเช่นนรก

ทุฏฐลิจฉวีกุมารนั้น นั่งฟังโอวาทของพระพุทธเจ้าครั้งเดียวนี้
ก็ทิ้งมานะได้ ไม่ดื้อรั้น กลายเป็นผู้ฝึกฝนได้ ไร้พยศ มีจิตอ่อนโยน

คนที่พบเห็นก็ไปร่ำลือกันว่า พระกุมารเปลี่ยนไป หน้าเท้าเป็นหลังมือ
ด้วยพระโอวาทเพียงครั้งเดียว

วันหนึ่งเหล่าภิกษุพากันนั่งสนทนากันเรื่องนี้
พระพุทธเจ้าได้ยินเข้า เลยทรงบอกว่า

พระองค์ไม่ใช่เพิ่งจะกำราบพระกุมารนี้ ด้วยการสอนครั้งเดียวครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ในอดีตน่ะก็เคยมาแล้ว และทรงเล่าให้ฟังว่า

ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์
ได้เล่าเรียนคัมภีร์ไตรเพทและสรรพศิลปวิทยาในเมืองตักกสิลา
เรียนจบกลับมาครองเรือนไม่นาน พ่อแม่ก็เสียชีวิตไป
จึงออกบวชเป็นฤๅษีแล้วเจริญภาวนาจนได้อภิญญา

พระโพธิสัตว์หรือฤาษีนั้นพำนักอยู่ในป่าหิมพานต์
นานๆทีก็เข้าไปในเมืองเปลี่ยนบรรยากาศ

วันหนึ่งเดินทางไปถึงเมืองพาราณสี เช้าก็ออกบิณฑบาต
พระเจ้าพรหมทัตทรงมองเห็นก็เลื่อมใส จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์พระดาบสนั้นมา

อำมาตย์เข้าไปหาพระฤาษีโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนิมนต์ให้ไปรับภัตตาหารจากพระราชา
อ้อนวอนหลายรอบจึงสำเร็จ พระราชาได้ถวายภัตตาหารแก่ฤาษีพระโพธิสัตว์สมใจ
แล้วทูลนิมนต์ให้พำนักในอุทยาน ไม่ต้องกลับเข้าป่าหิมพานต์อีก

พระเจ้าพรหมทัต มีพระโอรสชื่อทุฏฐกุมาร
เป็นผู้มีสันดานดุร้ายหยาบคาย ปัจจุบันก็คือทุฏฐลิจฉวีนี่แหละ
ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่า สันดานคนน่ะฝังลึก ถ้าย้อนเวลาไปได้สักห้าหมื่นปี
จะรู้ว่าเมื่อก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็จะนิสัยเดิม

กุมารนี้ก็เข้าตำราเดิมคือ ดุร้าย หยาบคาย ร้ายกาจพ่อแม่สอนไม่ได้
พระเจ้าพรหมทัตก็มาขอให้พระพุทธองค์ช่วยหาวิธีสอนพระโอรสหน่อย
ปรากฏว่าวิธีที่ใช้สอนล้ำลึกมากครับ

คือฤาษีทรงพาพระโอรสไปเดินเล่นในอุทยาน
ไปเจอหน่อต้นสะเดาต้นหนึ่งเพิ่งมีใบสองใบแตกออกข้างละหนึ่งใบ
ก็เด็ดมาใบหนึ่ง ส่งให้แล้วบอกพระโอรสว่า
เธอจงเคี้ยวกินใบของหน่อสะเดานี้ แล้วจำรสไว้

พระกุมารทรงเคี้ยวใบสะเดาใบนั้น พอรู้รสแล้วรีบแหวะ แหวะ
ถ่มทิ้งพร้อมบ้วนน้ำลายถุยๆ พระฤาษีจึงถามว่า เป็นไงมั่ง
พระโอรสตอบว่า ขมสุดในสามโลก

ขนาดเป็นหน่อเล็กๆยังขมขนาดนี้ โตขึ้นคงเป็นยาพิษ
ใครกินเข้าไปคงตายคาที่เป็นแน่
ว่าแล้วก็ถอนหน่อสะเดาที่มีใบเหลือใบเดียวขึ้นมาใช้มือขยี้ทิ้งเสีย

พระฤาษีจึงสอนว่า กุมารเอ๋ย เธอปฏิบัติกับหน่อสะเดานี้ยังไง
เสนาอำมาตย์ราษฎรของเธอก็ฉันนั้น เขาจักพากันกล่าวว่า
พระกุมารนี้เด็กอยู่ ยังดุร้ายหยาบคายอย่างนี้
เมื่อเจริญเติบโตครองราชสมบัติ จักทำอย่างไรกันเล่า

ขืนให้พระกุมารครองราชย์ บ้านเมืองคงไม่เจริญ
แล้วจะพากันถอดถอนเธอ ขับไล่เธอเสีย
ฉะนั้น เธอจงละเว้นความเป็นคนร้ายกาจเหมือนต้นสะเดาเสีย
จงถึงพร้อมด้วยความอดทน ความเมตตาและความเอื้อเฟื้อ ตั้งแต่บัดนี้ไปเถิด
นับแต่นั้นมา พระกุมารก็หมดมานะ หมดพยศ
สมบูรณ์ด้วยความอดทน ความเมตตาและความเอื้อเฟื้อ
ดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์  ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่ดี
ทรงบำเพ็ญบุญกุศลไปจนชั่วชีวิต นิทานก็จบลงแต่เพียงนี้ครับ

อ่านแล้วผมได้อะไรสองสามเรื่อง
เรื่องแรก คำกล่าวที่ว่าพระพุทธเจ้า
เป็นครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้ฝึกผู้ที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า อันนี้ ไม่เกินความจริงเลย

สองคือ คนเป็นพ่อแม่ เห็นว่าลูกทำอะไรไม่งาม
จะสอนอะไรก็ควรสอนตั้งแต่ลูกยังเล็กนะครับ
อย่าคิดว่า เขายังเด็กอยู่ไม่รู้อะไร เพราะยิ่งโตไปจะยิ่งสอนยาก
แล้วเราก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเสียด้วย

สามคือ อ่านนิทานชาดกแล้วพบว่า
มีจำนวนหลายๆชาติมากที่พระโพธิสัตว์เป็นนักบวช ฤาษี พระดาบส
ได้ฌาน อภิญญา เหาะเหินเดินอากาศได้สารพัด
แต่ท่านก็ไม่บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถามว่าเพราะอะไร ตอบได้ว่า เพราะบารมียังไม่พอ
ฉะนั้นแปลว่าลำพังนั่งสมาธิเก่งอย่างเดียว ก็ไม่พอ
ต้องเจริญสติ เจริญปัญญาด้วย

นิทานชาดกนี่ อ่านดีๆก็ให้อะไรกับเราได้มากกว่าที่คิดนะครับ

สุขสันต์วันนี้ครับ

ปล. ท่านที่บอกว่าหาหนังสือผมไม่เจอ
อยากแนะนำว่า ธนาคารความสุข ๑-๔ ทั้งสี่เล่ม มีขายที่ซีเอ็ดบุ้ค
หรือถ้าสาขาใกล้บ้านท่านไม่มีก็สั่งได้จาก www.primapublishing.co.th ครับ
ส่วน “วิตามินแห่งความสุข” เป็นหนังสือของผมอีกเล่มที่หลายท่านไม่ทราบ
ถ้าหาไม่เจอ สั่งได้จาก www.matichonbook.com นะครับ